ข่าวในประเทศ
ดร.คณิศ แสงสุพรรณ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.)
1. ดัน EEC ฮับการลงทุนโลก นำร่องสนามบินอู่ตะเภา (ที่มา: ทันหุ้น , ประจำวันที่ 22 มิถุนายน 2563)
ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) กล่าวว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อย่างต่อเนื่อง เป็นการส่งสัญญาณให้นักลงทุนต่างชาติว่าไทยมีสาธารณูปโภคครบครัน พร้อมที่จะรองรับการลงทุนทุกอุตสาหกรรม เนื่องจากพื้นที่ของโครงการตั้งอยู่ในเขตส่งเสริมเมืองการบินตะวันออก อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง อยู่ใกล้พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี และนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ในระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเพียง 20 นาที โดยโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน คือกลุ่ม BBS หรือ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด ระยะเวลาสัมปทาน 50 ปี เป้าหมายหลักคือต้องการให้สนามบินอู่ตะเภาเป็น "สนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์ แห่งที่ 3" สามารถรองรับการขนส่งทางอากาศทั้งการขนส่งผู้โดยสาร และการขนส่งสินค้า พื้นที่กิจกรรมด้านอุตสาหกรรมการบินที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งงานสนับสนุนอื่นๆ บนพื้นที่ ขนาด 1,400 ไร่ ประกอบด้วย ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน ศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรด้านการบินและอวกาศ โรงผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น โรงผลิตน้ำประปาและบำบัดน้ำเสีย และบริการเติมเชื้อเพลิงอากาศยาน
อย่างไรก็ตาม นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ในฐานะแกนนำกลุ่ม BBS กล่าวว่า แผนการพัฒนาโครงการ แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ระยะที่ 1 มีอาคารผู้โดยสารขนาดพื้นที่กว่า 157,000 ตารางเมตร พื้นที่กิจกรรมเชิงพาณิชย์ อาคารจอดรถ ศูนย์ขนส่งภาคพื้นดิน และหลุมจอดอากาศยาน 60 หลุมจอด คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ. 2567 สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 15.9 ล้านคนต่อปี เบื้องต้นจะใช้เงินลงทุนประมาณ 3 หมื่นล้านบาท จะเริ่มก่อสร้างประมาณกลางปี 2565 หลังได้รับมอบพื้นที่จากกองทัพเรือ สำหรับการพัฒนาโครงการ ระยะที่ 2-4 จะเริ่มเมื่อปริมาณผูโดยสารแตะที่ประมาณ 80% เพื่อให้การก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 4 เสร็จทันรองรับปริมาณผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้น เบื้องต้นประมาณการไว้ที่ระยะละ 10 ปี ซึ่งหากปริมาณผู้โดยสารเร่งตัวขึ้นเร็วกว่ากำหนดกลุ่ม BBS ก็พร้อมที่จะดำเนินโครงการทันที
นายประพันธ์ บุณยเกียรติ
ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.)
2. ยุโรป-อเมริกา เล็งตั้งโรงงานในไทย (ที่มา: ข่าวสด , ประจำวันที่ 22 มิถุนายน 2563)
นายประพันธ์ บุณยเกียรติ ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาน้ำยางสด เดือนมิ.ย. 2563 ราคาน้ำยางข้นเพิ่มขึ้นเป็น 44.52 บาท/กิโลกรัม (ก.ก.) เพิ่มขึ้น 4.34 บาท/ก.ก. หรือเพิ่มขึ้น 10.89% จากเดือน ม.ค. ที่มีราคาอยู่ที่ 40.18 บาท/ก.ก. หากเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลง 7.8 บาท/ก.ก. หรือลดลง 15% จาก 52 บาท/ก.ก. ในช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ส่งผลให้มีความต้องการน้ำยางข้นเพื่อผลิตถุงมือยาง แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลาย แต่ผลิตภัณฑ์ทำจากยางยังมีความต้องการเพิ่มขึ้น เช่น ถุงมือยางเพื่อใช้ในการแพทย์ ถุงยางอนามัย รวมทั้งไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ก่อนประเทศผู้ผลิตยางรายอื่น โรงงานประกอบรถยนต์ เริ่มเปิดสายการผลิตอีกครั้ง ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น จากอุปสงค์น้ำมันจะฟื้นตัวขึ้น รวมทั้งนักลงทุนเริ่มเข้าซื้อยางในตลาดล่วงหน้าอีกครั้งโดย ยุโรป สหรัฐ สเปน สนใจเข้ามาลงทุนตั้งโรงงาน ผลิตถุงมือยางในประเทศจำนวนมาก เพราะมองว่าการระบาดโควิด-19 ทำให้ความต้องการยังจะมีมากอยู่อีก 3-5 ปี เป็นครั้งแรกที่น้ำยางข้นมีราคาพุ่งสูงกว่ายางชนิดอื่น ๆ ทุกชนิด และคำสั่งซื้อยางพาราไทยยาวไปถึงปลายปีแล้ว
อย่างไรก็ดี นายประพันธ์กล่าวอีกว่า ส่วน 5 เดือนแรกของปีนี้ไทยส่งออกยางพารา 1,686,992.16 ตัน คิดเป็นสัดส่วน 42.4% ของยอดขายรวมทั้งปี 2562 ลดลง 61,413.02 ตันหรือ 3.51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ส่งออกได้ 1,748,405.1 ตัน ประเทศจีนนำเข้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเพราะปัญหาไวรัส โดยส่งออกไปจีน 1,069,889.3 ตัน เพิ่มขึ้น 97,500 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 10.03% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ประเทศ คู่ค้าอื่นๆ ปรับตัวลดลงหมด ได้แก่ มาเลเซีย 148,919.40 ตัน ลดลง 14,447.70 ตัน ลดลง 8.84%, สหรัฐอเมริกา ส่งออกได้ 77,549.89 ตัน ลดลง 29,978.26 ตัน ลดลง 27.88% ญี่ปุ่นส่งออกได้ 80,995.73 ตัน ลดลง 12,651.56 ตัน ลดลง 13.51%, เกาหลีใต้ ส่งออกได้ 39,064.35 ตัน ลดลง 9,572.56 ตัน ลดลง 19.68% และอื่นๆ ส่งออกได้ 270,573.44 ตัน ลดลง 92,263.36 ตัน ลดลง 25.43% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ส่งออกได้ 362,836.80 ตัน คิดเป็นสัดส่วน 16.04%
นายธนิต โสรัตน์
รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย
3. คลายล็อกฯ เฟส 4 ดันแรงงานทยอยกลับ (ที่มา: mgronline.com , ประจำวันที่ 22 มิถุนายน 2563)
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มอัตราการว่างงานของคนไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นจากมาตรการคลายล็อกดาวน์ของภาครัฐที่ดำเนินมาถึงระยะที่ 4 แต่จากระดับแรงซื้อในประเทศและการส่งออกที่ชะลอตัวทำให้แรงงานจะกลับเข้าสู่ระบบได้ไม่เต็มที่ จึงคาดว่าจะยังมีแรงานตกค้างว่างงานอยู่ประมาณ 3 ล้านกว่าคน โดยรวมแรงานในระบบประกันสังคมมาตรา 39 แต่ยังไม่รวมแรงงานที่จะจบใหม่อีกราว 5แสนกว่าคนหรือคิดเป็นราว 7.85% ของแรงงานทั้งระบบ 38 ล้านคน นอกจากนี้แม้ว่าธุรกิจต่างๆเริ่มกลับมาดำเนินกิจการทั้งค้าปลีก ค้าส่ง ภาคการผลิต แต่ก็มีสัญญาณที่จะต้องติดตามใกล้ชิดในครึ่งปีหลังเนื่องจากแรงซื้อของประชาชนถดถอยซึ่งเกิดจาก 2 ปัจจัยได้แก่ 1.ประชาชนรายได้ลดขาดเงินใช้จ่ายจริง 2. ประชาชนมีเงินแต่ไม่กล้าใช้จ่ายเพราะกังวลอนาคตรายได้อาจไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั้งไทยและต่างชาติ ขณะที่เม็ดเงินที่รัฐบาลออกมากระตุ้นการบริโภคโดยเป็นเงินเยียวยาประชาชน 5.5 แสนล้านบาท และที่เหลือ 4.5 หมื่นล้านบาทใช้ในด้านสาธารณสุขรวมเป็นเงิน 6 แสนล้านบาทได้เริ่มหมดลงแล้วจึงต้องรอเม็ดเงินภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 4 แสนล้านบาทที่จะออกมาในเดือน ก.ค. นี้ว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนได้มากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกของไทยหากมองประเทศคู่ค้าหลักทั้งสหรัฐ สหภาพยุโรป จีน ล้วนแล้วแต่เผชิญกับโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจถดถอยเช่นกันประกอบกับยังมีสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ อาทิ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนรอบใหม่ การปะทะกันระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เป็นต้น เหล่านี้ย่อมบั่นทอนเสถียรภาพเศรษฐกิจโลกลงไปอีกจึงทำให้แนวโน้มการส่งออกของไทยปีนี้ยังคงติดลบสูง 5-8% ทำให้ภาคการผลิตของไทยที่เน้นพึ่งพาตลาดส่งออกประกอบด้วยเริ่มอยู่ในภาวะยากลำบากอาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ดังนั้นครึ่งปีหลังจึงต้องติดตามภาคการผลิตใกล้ชิด ว่าจะสามารถแบกรับภาระต้นทุนกับสภาพตลาดที่ซบเซาได้หรือไม่และจะมีผลต่อแรงงานตามมาอีกระลอก โดยแหล่งข่าวจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวยอมรับว่า ที่ผ่านมาภาคการท่องเที่ยวและบริการจะได้รับผลกระทบทันทีที่เห็นชัดเจน แต่ภาคการผลิตนั้นจะเริ่มเห็นชัดเจนขึ้นว่าจะรอดหรือไม่ในครึ่งปีหลังเนื่องจากภาคอุตสาหกรรมไทยส่วนใหญ่เน้นพึ่งตลาดส่งออกขณะที่เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบโควิด-19 และความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศซึ่งจะบั่นทอนให้การส่งออกยิ่งยากลำบากมากขึ้น
ข่าวต่างประเทศ
4. ราคาทองฟิวเจอร์พุ่ง $11.20 รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 22 มิถุนายน 2563)
ราคาทองคำฟิวเจอร์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเช้านี้ตามเวลาไทย เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดรอบสองของไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ ราคาทองยังได้แรงหนุน หลังจากโกลด์แมน แซคส์ ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำ ณ เวลา 08.05 น.ตามเวลาไทยในวันนี้ ราคาทองฟิวเจอร์พุ่งขึ้น 11.20 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 0.64% แตะที่ 1,764.20 ดอลลาร์สหรัฐฯ /ออนซ์ นักลงทุนเดินหน้าเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยรายงานล่าสุดว่า ณ วันที่ 21 มิ.ย. พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกเพิ่มอีก 183,020 ราย ทำสถิติยอดติดเชื้อรายวันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 8,708,008 ราย และพบผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 4,743 ราย ซึ่งทำให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 461,715 ราย
อย่างไรก็ตาม ราคาทองยังได้แรงหนุนจากการที่โกลด์แมน แซคส์ ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำในระยะ 3 เดือน, 6 เดือน และ 12 เดือน ขึ้นสู่ระดับ 1,800, 1,900 และ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ /ออนซ์ตามลำดับ จากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 1,600, 1,650 และ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ /ออนซ์ นักวิเคราะห์ของโกลด์แมนระบุว่า การปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองครั้งล่าสุดนั้น เป็นผลจากการที่ผู้บริโภคในตลาดเกิดใหม่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยหลังจากได้รับผลกระทบจากความมั่งคั่งที่ลดลง และนักลงทุนในตลาดที่พัฒนาแล้วต้องการลงทุนในทอง เพราะถูกขับเคลื่อนด้วยความวิตกเกี่ยวกับการลดค่าเงิน และดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)