ข่าวในประเทศ
นายธวัช เบญจาทิกุล
อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน
1.กระทรวงแรงงาน เทรนพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย (ที่มา: กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน , ประจำวันที่ 6 สิงหาคม 2563)
นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังเปิดงานดังกล่าวว่า กพร. ขับเคลื่อนภารกิจการพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยการดำเนินงานตามพ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2557 เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อตอบโจทย์การพัฒนากำลังแรงงานของประเทศทั้งการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ EEC เขตเศรษฐกิจพิเศษ และทั่วประเทศ รวมถึงแก้ปัญหาขาดแคลนกำลังคนทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยใช้แนวทางการฝึกอบรมฝีมือแรงงาน การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน การรับรองความรู้ความสามารถ พร้อมทั้งส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการพัฒนาทักษะฝีมือให้กับพนักงานของตนเอง โดยให้สิทธิประโยชน์ในการยกเว้นภาษี ขณะเดียวกันมีมาตรการภาคบังคับเพื่อสร้างความปลอดภัยต่อสาธารณะจากการทำงาน ซึ่งปัจจุบันได้ประกาศให้สาขาช่างไฟฟ้าภายในอาคาร ช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ช่างเชื่อมอาร์กโลหะด้วยมือ ช่างเชื่อมแม็ก และช่างเชื่อมทิก เป็นสาขาอาชีพที่ผู้ปฏิบัติงานต้องผ่านการรับรองความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพจึงจะทำงานได้ กพร. จึงแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพ.ร.บ.ดังกล่าว เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบ กำกับดูแล ให้คำปรึกษาแนะนำ และประชาสัมพันธ์สิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของปัญหาที่ดินในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจนั้นมีทั้งหมด 87,000 ไร่ แต่พื้นที่ร้อยละ70 ไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่มีโฉนดที่ดิน นักลงทุนไม่สามามรถที่จะลงทุนอะไรได้ จึงไม่เข้าใจว่า รัฐบาลประกาศเขตพัฒนาเศรษฐกิจเพื่ออะไร เมื่อทำอะไรไม่ได้ นายเทอดเกียรติ์ กล่าวว่า ควรจัดรายได้จากแรงงานต่างด้าวให้กับท้องถิ่นตามสมควร วันนี้มีแรงงานต่างด้าวทำงานในท้องถิ่น ท้องถิ่นไม่ได้อะไร จึงอยากนำเสนอการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวใหม่นั้น ต้องนำแรงงานเข้ามาสู่ระบบ และจัดรายได้ หรือค่าธรรมเนียมให้ท้องถิ่นตามสัดส่วนจำนวนคน หรือ ที่รัฐเห็นสมควร ซึ่งดีกว่าปล่อยให้อยู่ในสภาพนี้ ไม่ได้อะไรโดย วิธีดังกล่าวจะทำให้แรงงานกลับมาเข้ามาสู่ระบบมากขึ้น ทั้งนี้แรงงานในพื้นที่มีทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร และภาคบริการในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยจะรวมตัวกันนำเรื่องเสนอรัฐบาลต่อไป
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์
เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)
2. สศก. จับมือ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดทำ Big Data (ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า , ประจำวันที่ 6 สิงหาคม 2563)
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)เปิดเผยถึงการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการความร่วมมือระหว่าง สศก. กับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยว่า จากที่ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เน้นนโยบายขับเคลื่อนการปฏิรูปการบริหารและการบริการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ที่รัฐบาลให้ทุกกระทรวงเร่งจัดทำฐานข้อมูล Big Data เพื่อให้บริการกับทุกภาคส่วน และมอบหมาย สศก.ดำเนินการหลักในการจัดทำ Big Data ของกระทรวงเกษตรฯ สศก. ได้มีการบูรณาการร่วมกับ 10 กระทรวง และ MOU เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อ 25 ธันวาคม 2562 พร้อมตั้งศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ (National Agricultural Big Data Center) หรือ NABC และเปิดให้บริการมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 ศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ พัฒนาระบบฐานข้อมูลมาอย่างต่อเนื่อง บูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งสถาบันการศึกษา ที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนการจัดทำ Big Data ด้านการเกษตรให้เกิดผลเป็นรูปธรรม การลงนาม MOU บันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการของ สศก. และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยในครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวสำคัญ ที่จะร่วมกันพัฒนาขีดความสามารถด้านวิชาการ ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และร่วมกันเสริมสร้างความเข้มแข็งและประสิทธิภาพเจ้าหน้าที่และนักวิชาการของทั้ง 2 หน่วยงาน สร้างสรรค์ผลงานทางวิชาการร่วมกัน
อย่างไรก็ดี ด้านผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวเสริมว่า ทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยยินดีอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนและให้ความร่วมมือกับทาง สศก. โดยเฉพาะทักษะด้านวิชาการ การพัฒนาและประยุกต์ใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อการวิเคราะห์ วิจัย และการพยากรณ์ทางเศรษฐกิจการเกษตรให้นักวิชาการของสศก. ตลอดจนโพลล์และเผยแพร่ข่าวสารสู่สาธารณชน และยินดีร่วมสนับสนุน นักวิชาการประชุม สัมมนา อบรมวิชาการเพื่อร่วมเพิ่มพูนศักยภาพของบุคลากร ไปด้วยกัน
นายเทอดเกียรติ ชินสรนันท์
นายกเทศมนตรีนครแม่สอด
3. สศก. จับมือ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดทำ Big Data (ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า , ประจำวันที่ 6 สิงหาคม 2563)
นายเทอดเกียรติ ชินสรนันท์ นายกเทศมนตรีนครแม่สอด ได้เป็นประธานในการประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก ระดับตำบล ทั้งหมด 14 ตำบล จากพื้นที่อำเภอแม่สอด อำเภอแม่ระมาด และอำเภอพบพระ ณ ห้องประชุมนพรัตน์ ชั้น 5 อาคารศูนย์ส่งเสริมอาชีพชุมชน สำนักงานเทศบาลนครแม่สอด อ.แม่สอด จังหวัดตาก โดยในที่ประชุมได้แจ้งข่าวสารความคืบหน้า และอุปสรรคปัญหาในการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจเช่นปัญหาที่ดิน ที่ยังมีปัญหามากทั้ง 14 ตำบล ที่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะปัญหาเป็นที่ดินของรัฐเป็นพื้นีทีภทบ.สปก. ไม่สามารถก่อสร้างใดๆ หรือแม้แต่ที่ดินราชพัสดุยังมีปัญหา และปัญหาแรงงานต่างด้าวที่มาอยู่ในพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ทางท้องถิ่นไม่มีรายได้จากแรงงานต่างด้าว แต่ต้องมาแบกรับปัญหาที่ตามมากับแรงงานต่างด้าว เช่นปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ และอื่นๆมากมาย เช่นปัญหาขยะ โรคติดต่อ เป็นต้น ในที่ประชุมเห็นว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพัฒานาเศรษฐกิจ ควรให้องค์กรท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่มาบริหารแรงงานต่างด้าวเอง และควรมีรายได้จากค่าธรรมเนียม ซึ่งท้องถิ่นทั้ง 14 ตำบลในเขตพัฒนาเศรษฐกิจจะร่วมกันลงชื่อนำเสนอพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังมีภาษีล้อเลื่อน ภาษีแวต(VAT) และภาษีน้ำมัน ที่ท้องถิ่นควรได้ค่าธรรมเนียมด้วย
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของปัญหาที่ดินในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจนั้นมีทั้งหมด 87,000 ไร่ แต่พื้นที่ร้อยละ70 ไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่มีโฉนดที่ดิน นักลงทุนไม่สามามรถที่จะลงทุนอะไรได้ จึงไม่เข้าใจว่า รัฐบาลประกาศเขตพัฒนาเศรษฐกิจเพื่ออะไร เมื่อทำอะไรไม่ได้ นายเทอดเกียรติ์ กล่าวว่า ควรจัดรายได้จากแรงงานต่างด้าวให้กับท้องถิ่นตามสมควร วันนี้มีแรงงานต่างด้าวทำงานในท้องถิ่น ท้องถิ่นไม่ได้อะไร จึงอยากนำเสนอการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวใหม่นั้น ต้องนำแรงงานเข้ามาสู่ระบบ และจัดรายได้ หรือค่าธรรมเนียมให้ท้องถิ่นตามสัดส่วนจำนวนคน หรือ ที่รัฐเห็นสมควร ซึ่งดีกว่าปล่อยให้อยู่ในสภาพนี้ ไม่ได้อะไรโดย วิธีดังกล่าวจะทำให้แรงงานกลับมาเข้ามาสู่ระบบมากขึ้น ทั้งนี้แรงงานในพื้นที่มีทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร และภาคบริการในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยจะรวมตัวกันนำเรื่องเสนอรัฐบาลต่อไป
ข่าวต่างประเทศ
4. สหรัฐฯ เตือน จีนใกล้ชิดอิหร่านเกินไปอาจสะเทือนตะวันออกกลาง (ที่มา: voathai.com , ประจำวันที่ 6 สิงหาคม 2563)
รมต.พอมเพโอ ระบุในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสถานีข่าว ฟ็อกซ์ นิวส์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ความใกล้ชิดระหว่างจีนและอิหร่าน จะทำให้สถานการณ์ในอิสราเอล ซาอุดิอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ มีความเสี่ยงมากขึ้น พร้อมเรียกร้องให้ทั้งสามประเทศรวมทั้งประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้คอยระวังการเคลื่อนไหวของจีน ซึ่งเป็นคู่ปรับคนสำคัญรายหนึ่งของกรุงวอชิงตันในเวลานี้ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ยังยืนยันด้วยว่า ขณะที่อิหร่านนั้นเป็นประเทศแถวหน้าที่ให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายอย่างเต็มที่ การที่รัฐบาลกรุงเตหะรานจะสามารถเข้าถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ มีโอกาสทางการค้า และได้หมุนเงินผ่านพรรคคอมมิวนิสต์จีนยิ่งจะทำให้ความเสี่ยงเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลางสูงขึ้นไปด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลอิหร่าน ซึ่งออกมาโทษกลุ่มมุสลิมติดอาวุธว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุก่อการร้ายโจมตีในภูมิภาคนี้มาหลายทศวรรษ ปฏิเสธว่า ได้ให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวดังกล่าว และยืนยัน ตนเป็นเหยื่อของเหตุก่อการร้ายต่างๆ เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม จากรายงานข่าวที่ออกมาเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งอ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่การทูตระดับสูงของสหรัฐฯ ระบุว่า จีนและอิหร่านกำลังจะได้ข้อสรุปข้อตกลงการค้าและการทหารที่จะมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 25 ปี และที่เรียกว่าเป็นความตกลง “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์แบบเบ็ดเสร็จ” หรือ Comprehensive Strategic Partnership โดยข้อตกลงนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อมี ค.ศ. 2016 และถือเป็นข้อตกลงระดับทวิภาคีสูงที่สุดเท่าที่รัฐบาลกรุงปักกิ่งเคยทำกับหุ้นส่วนใดๆ มาเลยซึ่งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รัฐบาลอิหร่านเปิดเผยว่า การประชุมถกประเด็นข้อตกลงนี้ยังเดินหน้าอยู่ แต่ไม่ได้ประเมินว่าจะได้ข้อสรุปเมื่อใด ขณะที่รัฐบาลกรุงปักกิ่งไม่ได้ออกมาให้รายละเอียดในเรื่องนี้แต่อย่างใด
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)