ข่าวในประเทศ
นายสมเด็จ สุสมบูรณ์
อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)
กระทรวงพาณิชย์
1. DITP รับสมัครสินค้านวัตกรรมเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม เจาะเวียดนาม (ที่มา: thailandplus.tv , ประจำวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564)
นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมฯ โดยสำนักส่งเสริมนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้า (สนม.) และสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโฮจิมินห์ (สคต. ณ นครโฮจิมินห์) ได้กำหนดจัดกิจกรรมส่งเสริมสินค้านวัตกรรมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสู่ตลาดเวียดนามในรูปแบบ Mirror Mirror ปี 2564 เพื่อส่งเสริมและผลักดันสินค้าที่มีนวัตกรรมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของไทยให้สามารถขยายตลาดสู่เวียดนาม รวมถึงเกิดการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจระหว่างผู้ผลิต ผู้ส่งออกไทย กับผู้นำเข้าและผู้กระจายสินค้าของเวียดนาม และประชาสัมพันธ์และแสดงศักยภาพสินค้าไทยที่ได้รับการพัฒนานวัตกรรมให้ได้รับการยอมรับแก่กลุ่มเป้าหมายในตลาดเป้าหมายประเทศเวียดนาม ทั้งนี้ กรมฯ อยู่ระหว่างการเปิดรับสมัครกลุ่มเป้าหมาย โดยผู้ประกอบการที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง สินค้าแม่และเด็ก และสินค้าสัตว์เลี้ยง ที่มีการผลิตโดยใช้นวัตกรรมและสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถที่จะสมัครเข้าร่วมโครงการได้ โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 15 มีนาคม 2564 เป้าหมายจำนวน 15 ราย และกำหนดจัดงานแสดงสินค้าในรูปแบบ Mirror Mirror ที่โรงแรม Sheraton Saigon hotel & Tower นครโฮจิมินห์ วันที่ 15 มิถุนายน 2564 โดยผู้ประกอบการไม่ต้องเดินทางเข้าร่วมงาน เพียงแค่ส่งสินค้าตัวอย่างไปจัดแสดง และเจรจาธุรกิจผ่านทางออนไลน์
อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่กลุ่มงานส่งเสริมนวัตกรรมเพื่อการค้า สำนักส่งเสริมนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โทร. 0 2507 8269 และ 0 2507 8267 หรือ E-mail : innovation@ditp.go.th หรือสายตรงการค้าระหว่างประเทศ โทร 1169
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม
อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
2. ตั้งกองทุน FTA พันล้านบาท (ที่มา: เดลินิวส์ , ประจำวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564)
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนเอฟทีเอ ว่า กรมฯ ได้จัดทำรายละเอียดข้อเสนอการขอตั้งกองทุนใกล้เสร็จแล้ว โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีทุนประเดิมที่เหมาะสมไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท และยังมีรายได้เสริมจากแหล่งอื่น เพื่อให้มีเงินเพียงพอในการบริหาร เช่น มีข้อเสนอให้หักรายได้ค่าธรรมเนียมจากหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์เข้ามาเติมในกองทุน โดยจะไม่มีการเก็บเพิ่มจากผู้ประกอบการ จนทำให้เดือดร้อน ทั้งนี้เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับเตรียมความพร้อม ปรับตัว และช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผล กระทบจากเอฟทีเอให้กับภาคการผลิต เกษตรและอุตสาหกรรม และภาคบริการ โดยความช่วยเหลือจะแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ เงินจ่ายขาด สำหรับการวิจัยพัฒนา การจัดหาที่ปรึกษา การฝึกอบรม กิจกรรมที่สนับสนุนการตลาด และเงินหมุนเวียน เช่น เงินลงทุนในสิ่งก่อสร้าง และค่าเครื่องมืออุปกรณ์ พร้อมกับมีหน่วยงานกลางของรัฐ เข้าไปประสานงานและเสนอคำขอรับความช่วยเหลือไปยังหน่วยบริหารกองทุน "กรมฯ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาสแรกปีนี้ และจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะทำงานพิจารณาแนวทางการพัฒนากองทุนที่มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ก่อนเสนอ รมว.พาณิชย์ และส่งต่อให้คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ที่มี รมว.คลังเป็นประธานเห็นชอบ จากนั้นกรมฯ จะนำร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งกองทุน เข้าสู่กระบวนการประชาพิจารณ์ ก่อนเสนอ ครม.และรัฐสภาตามกระบวนการตรากฎหมายต่อไป"
อย่างไรก็ตาม นางอรมน กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้วันที่ 1 มกราคม 65 ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการค้า การบริการ และการผลิตของไทยอย่างมาก โดยในด้านการค้า พบว่า จะช่วยขยายโอกาสและสร้างแต้มต่อให้กับสินค้าไทยจากการที่ 90-92% ของสินค้าส่งออกไทยจะไม่ ถูกเก็บภาษีนำเข้าจากตลาดอาร์เซ็ป โดยเฉพาะจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ได้เปิดตลาดเพิ่มเติมให้กับสินค้าไทย เช่น สินค้าประมง แป้งมันสำปะหลัง สับปะรด น้ำมะพร้าว น้ำส้ม อาหารแปรรูป ผักผลไม้แปรรูป ส่วนประกอบอุปกรณ์ไฟฟ้า พลาสติก เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เส้นใย เครื่องแต่งกาย และกระดาษ เป็นต้น อีกทั้งยังสร้างโอกาสในการขยายตลาดการค้าบริการและการลงทุน โดยเฉพาะธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพ เช่น ก่อสร้าง บริการด้านสุขภาพ ภาพยนตร์และบันเทิง แอนิเมชั่น ตัดต่อภาพและเสียง และการค้าปลีกด้วย
นายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล
ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์
3. อุตสาหกรรมรถยนต์เจอศึกหนัก โควิด-19ฉุดยอดขายในประเทศ (ที่มา: แนวหน้า , ประจำวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564)
นายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวว่า ศูนย์วิจัยอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ สถาบันยานยนต์ ได้สรุปสภาวะอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ปี พ.ศ. 2563 พบว่าประเทศไทยมีปริมาณการผลิตรถยนต์ 1,427,27 คัน ลดลง 29% จำหน่ายในประเทศ 792,146 คัน ลดลง 21% และส่งออก735,842 คัน ลดลง 30% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19แต่อย่างไรก็ตามปริมาณดังกล่าวยังเป็นไปตามที่กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ตั้งเป้าหมายไว้ ทั้งนี้เหตุการณ์สำคัญที่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ปี 2563 พบว่า เดือนมกราคม เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในมณฑลอู่ฮั่น ประเทศจีน ส่งผลกระทบต่อการจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ในหลายๆ ประเทศ เดือนกุมภาพันธ์ บริษัทเจนเนอรัล มอเตอร์สประเทศไทย (General Motors (Thailand) Ltd.) ประกาศยุติการผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทย ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม ผู้ผลิตรถยนต์จำนวน 51 รายทั่วโลก รวมถึงผู้ผลิตรถยนต์ 8 ราย ในประเทศไทย หยุดการผลิตชั่วคราว เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19
อย่างไรก็ตาม ในเดือนต่อมา ผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศไทยได้กลับมาเดินหน้าผลิตตามเดิมจากนั้นเมื่อประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ระดับหนึ่ง ทำให้ในเดือนกรกฎาคมประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานมอเตอร์โชว์ครั้งแรกของโลก นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 และในเดือนสิงหาคม อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเริ่มฟื้นตัวโดยสามารถผลิตรถยนต์ได้มากกว่า 100,000 คัน เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การระบาดใหญ่เริ่มขึ้น กระทั่งเดือนพฤศจิกายน ที่ปริมาณการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เป็นครั้งแรกในรอบ 19 เดือนที่ผ่านมา โดยในช่วงปลายปี 2563 ได้เกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้ต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ต่อไป ทั้งนี้นายพิสิฐกล่าวว่า ด้วยปัจจัยต่างๆ ทำให้สถาบันยานยนต์ คาดการณ์ปริมาณการผลิตรถยนต์ในปี 2564 จำนวน 1,500,000 คัน เพิ่มขึ้น 6% ประกอบด้วยการส่งออก 750,000 คันเพิ่มขึ้น 2% จากสภาพเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่กำลังฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะที่การจำหน่ายในประเทศ 750,000 คัน ลดลง 3% เนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ภาระหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น
ข่าวต่างประเทศ
4. Fed เดินหน้าผ่อนคลายการเงิน จนกว่าบรรลุเป้าเศรษฐกิจโต (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ , ประจำวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564)
ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เปิดเผยรายงานการประชุมซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 26-27 มกราคม โดยระบุว่า กรรมการ Fed ส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า Fed ควรจะดำเนินนโยบายผ่อนคลายการเงินต่อไปอีกระยะหนึ่ง ทั้งนี้รายงานการประชุม Fed ยังระบุด้วยว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงสร้างความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับไวรัสโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์ รวมทั้งความยากลำบากในการผลิตและการแจกจ่ายวัคซีน อีกทั้ง รายงานการประชุม Fed มีความสอดคล้องกับที่นายเจอโรม พาวเวล ประธาน Fed ได้เปิดเผยในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ในงานเสวนาของสมาคมเศรษฐกิจแห่งนิวยอร์กเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่ Fed จะต้องรักษาจุดยืนด้านนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายด้วยความอดทน เพื่อกระตุ้นตลาดแรงงานให้ฟื้นตัวในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 ยังคงแพร่ระบาด "แม้มีสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานเริ่มฟื้นตัวเมื่อไม่นานมานี้ แต่ตลาดแรงงานของเรายังคงอยู่ห่างไกลจากคำว่าแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับตลาดแรงงานของประเทศอื่นๆ ที่เผชิญสถานการณ์เช่นเดียวกับเรา ตัวเลขจ้างงานในเดือน ม.ค. ปีนี้อยู่ที่ระดับต่ำกว่าในเดือน ก.พ. ปีที่แล้วเกือบ 10 ล้านตำแหน่ง ซึ่งถือว่าต่ำกว่าในช่วงหลังเกิดภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยรุนแรง (Great Recession)" นายพาวเวลกล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับการประชุม Fed ในครั้งนี้ ที่ประชุมมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% และประกาศว่าจะยังคงซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Q.E.) วงเงินรวม 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือน โดยเฟดจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 8 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน และซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ในวงเงิน 4 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)