ข่าวประจำวันที่ 10 มี.ค. 2564

ข่าวในประเทศ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

1. ดัน 7 หมื่นโรงงานสู่อุตสาหกรรมสีเขียว “สุริยะ” สั่ง กรอ. เร่งจัดการภายในปี 2568  (ที่มา: เว็บไซต์แนวหน้า, ประจำวันที่ 10 มีนาคม 2564)

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้มีความเข้มแข็งสามารถแข่งขันได้ รวมทั้งส่งเสริมให้การประกอบกิจการต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามแนวทางอุตสาหกรรมสีเขียวเพื่อเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) สอดรับกับโมเดลเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาล หรือ BCG โมเดล ที่เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม 3 ด้าน คือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว(Green Economy) มุ่งเป้ายกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยสู่สากล ภายใต้การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและปลอดภัยเพื่อชุมชน ต่อยอดการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้านนายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมส่งเสริมและพัฒนา ผู้ประกอบกิจการโรงงานสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบันมีสถานประกอบการอุตสาหกรรมได้รับใบรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวแล้วประมาณ 20,000 ราย โดยมีสถานประกอบการที่ขอใช้ตราสัญลักษณ์อุตสาหกรรมสีเขียวบนฉลากผลิตภัณฑ์แล้ว จำนวน 110 ราย เพื่อแสดงว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตาม สำหรับปี 2564 กรอ.ดำเนินการ3 โครงการหลักเพื่อการยกระดับโรงงานอุตสาหกรรมเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ประกอบด้วย 1.โครงการส่งเสริมสถานประกอบการเพื่อมุ่งสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว 2.โครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตที่สะอาดระดับรายสาขาการลดปริมาณน้ำในโรงานอุตสาหกรรม และส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียว โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นโรงงานอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป และโรงงานที่มีการใช้น้ำมากหรืออยู่ในพื้นที่ขาดแคลนน้ำ และ 3.โครงการส่งเสริมการยกระดับโรงงานอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืนด้วยระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมและระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน นอกจากนี้ กรอ. ยังมีการพัฒนาระบบสารสนเทศอุตสาหกรรมสีเขียว เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับสถานประกอบการ ด้วยการจัดทำระบบการเรียนรู้และอบรมออนไลน์ (E-learning) และคู่มืออุตสาหกรรมสีเขียว ที่รวบรวมหลักการดำเนินงาน หลักเกณฑ์และเงื่อนไข พร้อมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว

 

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

2. ครม.ขยายความร่วมมือการบินไทย-อินเดีย (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, ประจำวันที่ 10 มีนาคม 2564)

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (9 มีนาคม 2563) เห็นชอบรายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - อินเดีย ตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานซึ่งได้มีการลงนามความเข้าใจระหว่างไทย – อินเดียและให้ความเห็นร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตและมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศให้ปรับถ้อยคำได้ตามความเหมาะสมก่อนที่จะมีการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตระหว่างสองประเทศตามขั้นตอนต่อไปโดยสาระสำคัญที่มีความร่วมมือทางการบินระหว่างไทยและอินเดียได้ทำร่วมกันเพิ่มเติมจากเดิมที่เคยทำร่วมกันได้แก่มีการเพิ่มเส้นทางการบินจากไทยมาอินเดียที่เดิมที่มี 3 จุดคือเชียงใหม่ ภูเก็ต และ กทม.ให้เพิ่มอีก 3 จุดรวมเป็น 6 จุดได้แก่เพิ่มที่กระบี่ สมุย และอู่ตะเภา ส่วนสิทธิในการบินมายังประเทศไทยเดิมที่ให้สิทธิ์ทางอินเดียสามารถบินมายังประเทศไทยได้สัปดาห์ละ 23,609 ที่นั่ง ให้เพิ่มอีกสัปดาห์ละ 6,150 ที่นั่ง โดยสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้นตามข้อตกลงนี้จะนำมาพิจารณานำมาใช้ต่อเมื่ออินเดียมีการเดินทางเข้ามายังประเทศไทยในสัดส่วน 80% ของข้อตกลงเดิมซึ่งเป็นการรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต

อย่างไรก็ตาม กระทรวงคมนาคมได้รายงานว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากผลการเจรจาร่วมกันระหว่างไทยกับอินเดียจะทำให้มีความยืดหยุ่นในการวางแผนการให้บริการและสามารถเพิ่มบริการระหว่างการบินระหว่างกันได้มากขึ้น ตลอดจนเป็นการขยายเครือข่ายการบินและการเชื่อมต่อไปยังจุดอื่นๆได้ซึ่งจะช่วยเพิ่มการบินระหว่างกันได้มากขึ้นและเป็นการขยายเครือข่ายการบินและการเชื่อมต่อไปยังจุดอื่นๆได้อันเป็นการส่งเสริมการเดินทางและการขนส่งทางอากาศระหว่างทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้โดยสาร ธุรกิจการขนส่งสินค้ารวมถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การค้า และบริการระหว่างทั้งสองประเทศให้เจริญเติบโตอย่างมีศักยภาพมากขึ้นในอนาคต

 

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

3. "จีซี" ลุยต่อยอดเทคโนโลยี แปรรูปขยะพลาสติกปนเปื้อน (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, ประจำวันที่ 10 มีนาคม 2564)

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GCกล่าวว่าบริษัทร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี หรือ SUT ในโครงการศึกษาการจัดการขยะพลาสติกจากต้นทางสู่ปลายทางแบบครบวงจร เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าขยะพลาสติกปนเปื้อน โดยการรีไซเคิลพลาสติกผ่านกระบวนการ Chemical Recycling หรือ กระบวนการแปรรูปขยะพลาสติกปนเปื้อน ให้นำกลับมาใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือวัตถุดิบในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ได้ การทำงานร่วมกันนี้ GC ได้สนับสนุนการสร้างเทคโนโลยีของคนไทย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี พันธมิตรภาคการศึกษาที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีการรีไซเคิลพลาสติก เพื่อร่วมวางแผนจัดการคัดแยกขยะพลาสติกที่ต้นทาง ส่งเสริมให้ความรู้เรื่องการจัดการขยะพลาสติก พร้อมสนับสนุนถังขยะต้นแบบเพื่อการคัดแยก รวมถึงจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์การคัดแยกขยะพลาสติกในพื้นที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ซึ่งนำไปสู่รูปแบบการจัดการคัดแยกขยะพลาสติกต้นทางที่ลงมือทำได้จริงสู่ปลายทางแบบครบวงจรอย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ดี จากความร่วมมือในครั้งนี้ส่งผลให้ GC มีแผนการจัดการขยะพลาสติก (End-to-End Waste Management) ครบถ้วนครอบคลุม 3 ด้าน ได้แก่ 1) พลาสติกชีวภาพ (Bio-based) มุ่งเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สลายตัวได้ด้วยการฝังกลบเหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ใช้ครั้งเดียว 2) พลาสติกทั่วไป (Fossil-based)มุ่งเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์ด้วยความรับผิดชอบ นำขยะพลาสติกกลับมารีไซเคิล (Recycle) หรืออัพไซเคิล (Upcycle) ซึ่งเหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่คัดแยกและนำกลับมารีไซเคิลด้วยกระบวนการ Mechanical Recycling ได้ 3) Chemical Recycling ซึ่งร่วมมือกับมหาวิทยาลัยสุรนารี พัฒนาเทคโนโลยีการแปรรูปขยะพลาสติกปนเปื้อน ที่ไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลแบบปกติ (Mechanical Recycling) ให้กลับมาเป็นเชื้อเพลิงหรือวัตถุดิบในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ พร้อมวางระบบการจัดการขยะด้วยเทคโนโลยีอื่น ซึ่ง GC มีพันธมิตรรองรับวัตถุดิบที่ได้จากกระบวนการ Chemical Recyclingด้วย

 

ข่าวต่างประเทศ

4. จีนหวั่นสถานการณ์ 'เมียนมา' กระทบ 'แรร์เอิร์ธ' หัวใจธุรกิจไฮเทค (ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, ประจำวันที่ 10 มีนาคม 2564)

นิกเคอิ เอเชียรายงานว่า หลังการรัฐประหารในเมียนมา เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ได้เกิดความวุ่นวายในหลายพื้นที่ ทั่วประเทศ ขณะเดียวกันกลุ่มธุรกิจต่างชาติ บางส่วนได้ถอนความร่วมมือกับบริษัทในเมียนมา และอีกหลายบริษัทก็ได้หยุดดำเนินการเพื่อรอประเมินสถานการณ์และตัดสินใจทิศทางธุรกิจหลังจากนี้ ทำให้ เกิดความกังวลว่าอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ทในเมียนมาอาจหยุดชะงักไปด้วย ทั้งนี้ แร่แรร์เอิร์ทเป็นกลุ่มแร่ธาตุหายาก เช่น เทอร์เบียมออกไซด์ (terbium oxide) โลหะนีโอดิเมียม (neodymium metal) และดิสโพรเซียมออกไซด์ (dysprosium oxide) ซึ่งขาดไม่ได้ในการผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีต่าง ๆ ตั้งแต่สมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) เครื่องกำเนิดพลังงานลม และระบบป้องกันขีปนาวุธ เมียนมาเป็นหนึ่งในประเทศที่พบแหล่งแร่แรร์เอิร์ทเป็นจำนวนมาก โดยในปี 2020 เมียนมาสามารถผลิตได้ถึง 30,000 ตัน คิดเป็น 12.5% ของการผลิต แรร์เอิร์ทรวมทั่วโลก ตามข้อมูลของกรม สำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา ขณะที่จีนสามารถผลิตได้มากที่สุดในโลกอยู่ที่ 140,000 ตัน ในปี 2020 คิดเป็น 66.7% สหรัฐผลิตได้ 38,000 ตัน หรือ 15.8% แม้จีนจะสามารถผลิตแรร์เอิร์ทได้เป็น จำนวนมาก แต่ยังคงไม่เพียงพอต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศ ทำให้จีนต้องพึ่งพาการนำเข้าจากภายนอก โดยเฉพาะ เมียนมาที่ภาคอุตสาหกรรมทางตอนใต้ ของจีนใช้เป็นแหล่งซัพพลายหลัก เนื่องจากแหล่งแร่แรร์เอิร์ทของจีนอยู่ทางตอนเหนือของประเทศซึ่งห่างไกลและมีต้นทุนในการขนส่งสูงกว่า ส่งผลให้แรร์เอิร์ท
ของเมียนมากว่าครึ่งที่ผลิตถูกส่งออกไปยังจีน แต่การรัฐประหารในเมียนมาทำให้จีน วิตกกังวล แม้ว่าจะยังไม่มีรายงานว่า การผลิตแรร์เอิร์ทในเมียนมาหยุดชะงักลง

อย่างไรก็ตาม ความกังวลดังกล่าวทำให้เกิดภาวะอุปทานตึงตัว รวมกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมจีนที่ฟื้นตัวในเวลานี้ ส่งผลให้มูลค่าของแร่แรร์เอิร์ทเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ข้อมูลของ "ทอมสัน รอยเตอร์ส" เปิดเผยราคาซื้อขายทันที (spot prices) ของแรร์เอิร์ทในจีนแผ่นดิน ใหญ่ในสิ้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา เทียบกับ ต.ค. 2020 พบว่าราคาของเทอร์เบียมออกไซด์พุ่งขึ้นถึง 95% ส่วนโลหะนีโอดิเมียมเพิ่มขึ้น 87% และดิสโพรเซียมออกไซด์เพิ่ม 65% นอกจากนี้ทางการจีนได้เพิ่มโควตาการผลิตแร่แรร์เอิร์ทในประเทศให้กับบริษัท ผู้ผลิตแรร์เอิร์ทจีน 6 ราย หนึ่งในนั้นคือบริษัทไชน่านอร์เธิร์นแรร์เอิร์ธ (กรุ๊ป) ไฮเทค  ที่ได้สัมปทานการขุดแร่เพิ่มเติมในพื้นที่ไบยุน โอโบ (Bayan Obo) ในเขตมองโกเลียในของจีน ทำให้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2021 จะมี กำลังการผลิตเพิ่มเป็น 84,000 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปี 2020

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)