ข่าวประจำวันที่ 2 มิ.ย. 2564

ข่าวในประเทศ

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

 

1. คณะรัฐมนตรีอนุมัติจัดสรรงบกลางหนุนรถไฟ สนามบิน (ที่มา: ไทยรัฐ , ประจำวันที่ 2 มิถุนายน 2564)

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 568 ล้านบาท ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและสำรวจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเวนคืนในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ (สกพอ.) ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจาก มติ ครม. วันที่ 30 มีนาคม 2564 ได้รับทราบการขยายกรอบวงเงินค่างานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินฯ เป็นไม่เกิน 5,740 ล้านบาท จากเดิม 3,570 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2,170 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้เห็นชอบในหลักการที่ใช้งบประมาณปี 2565 อีก 1,562 ล้านบาทด้วย

อย่างไรก็ตาม ด้าน นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. อนุมัติอุดหนุนเงินทุนหมุนเวียนให้กรมท่าอากาศยาน 168 ล้านบาท จากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน ปี 2564 เพื่อชดเชยให้ภายหลังจากได้ขยายเวลาการปรับลดค่าบริการในการขึ้น-ลงของอากาศยาน (Landing Charge) ในอัตรา 50% ให้กับเที่ยวบินภายในประเทศและเที่ยวบินระหว่างประเทศทำให้กรมท่าอากาศยานสูญเสียรายได้ 166 ล้านบาท และได้ยกเว้นการจัดเก็บค่าบริการที่เก็บอากาศยาน (Parking Charge) ให้แก่ สายการบิน ทำให้สูญเสียรายได้ 1.49 ล้านบาท รวมสูญเสียรายได้ 168 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 25% ของรายได้ นอกจากนี้ ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 เป็นการปรับปรุงอัตราความเร็วสำหรับการขับรถในเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา หรือเขตชุมชน โดยรถบรรทุกที่มีน้ำหนักตัวรถเกิน 2,200 กิโลกรัม รถใช้บรรทุกคนโดยสารเกิน 15 คน รถโรงเรียน และรถจักรยานยนต์ ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตร (กม.) ต่อชั่วโมง ส่วนรถขณะลากจูงรถอื่น รถยนต์สี่ล้อเล็ก หรือรถยนต์สามล้อ ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 45 กม.ต่อชั่วโมง ส่วนนอกเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา และเขตชุมชน รถบรรทุก ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม.ต่อชั่วโมง รถโรงเรียน และรถจักรยานยนต์ ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 70 กม.ต่อชั่วโมง รถในขณะที่ลากจูงรถอื่น รถยนต์สี่ล้อเล็ก หรือรถยนต์สามล้อ ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 55 กม.ต่อชั่วโมง

 

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
รองนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

 

2. โครงการพาณิชย์ลดราคา ผู้บริโภคปลื้มลดค่า GP ช่วยร้านอาหารวันแรกฉลุย (ที่มา: ไทยรัฐ , ประจำวันที่ 2 มิถุนายน 2564)

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันที่ 1 มิถุนายน 2564 เป็นวันเริ่มต้นโครงการพาณิชย์ลดราคา ช่วยประชาชน Lot ที่ 11 ฟู้ดดีลิเวอรี โดยผู้ประกอบการฟู้ดดีลิเวอรี 5 ราย จะลดค่าส่วนแบ่งการขาย (GP) ที่เรียกเก็บจากร้านอาหาร 5% หรือเก็บที่ 25% จากปกติ 30-35% รวมทั้งการลดราคาอาหารที่ผู้บริโภคสั่งจากแพลตฟอร์มสูงสุดถึง 60% ลดค่าขนส่ง 3-5 กม.แรกจาก 40 บาท เหลือ 0 บาท นาน 30 วัน หรือตั้งแต่ 1-30 มิถุนายนนี้ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจะสูญเสียรายได้ 250-350 ล้านบาท แต่จะช่วยให้เงินหมุนเวียนในระบบได้ 2,000 ล้านบาท “ผมได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์เตรียมการ สำหรับพาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน Lot ที่ 12 ซึ่งจะเป็นการลดราคาสินค้าที่ซื้อผ่านทางออนไลน์ เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภคส่วนใหญ่ทั้งประเทศอีกกลุ่มที่จำเป็นต้องซื้อสินค้าออนไลน์ในช่วงวิกฤติโควิด ให้ได้ซื้อสินค้าในราคาย่อมเยา และยังให้ดูเรื่องสินค้าสำหรับนักเรียนด้วย”

อย่างไรก็ดี นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า กรมได้ร่วมกับแพลตฟอร์มออนไลน์ชื่อดัง Shopee เปิดพื้นที่บนแพลตฟอร์มจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรและสินค้าชุมชนคุณภาพดี กว่า 1,000 รายการ จำหน่ายภายใต้แคมเปญ “สุขใจซื้อของไทย” ในวันที่ 1-10 มิ.ย.นี้เลือกซื้อสินค้าได้ทางเว็บไซต์ www.shopee.co.th/dbdonline และแอปพลิเคชัน Shopee พร้อมมอบส่วนลดพิเศษ 20% เพียงกรอก Code ‘DBD20’

 

นายวีริศ อัมระปาล
ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)

 

3. กนอ. เผยโครงการท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 จะเริ่มก่อสร้าง 1 กรกฎาคมนี้ (ที่มา: อินโฟเควสท์ , ประจำวันที่ 2 มิถุนายน 2564)

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการก่อสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ว่า ได้ออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงานระยะที่ 1 (NTP1) ให้แก่ บริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินัล จำกัด เพื่อให้ดำเนินการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) โดยระบุวันที่เริ่มต้นนับระยะเวลาของโครงการเป็นวันที่ 1 กรกฎาคม 2564

อย่างไรก็ตาม ในส่วนการเริ่มดำเนินการก่อสร้างดังกล่าว ทางเอกชนร่วมสัญญายังมีข้อกังวลใจใน 2 ประเด็น คือ สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่อาจกระทบต่อแผนการจัดประชุมประชาสัมพันธ์โครงการก่อนเริ่มการก่อสร้าง และการเรียกร้องของกลุ่มผู้ประกอบการอาชีพประมงที่ต้องการมาตรการช่วยเหลือก่อนเริ่มต้นงานก่อสร้าง โดยผู้ว่าการ กนอ. กล่าวว่า เรื่องแรกที่ต้องทำความเข้าใจเร่งด่วน คือเรื่องของมาตรการช่วยเหลือ ที่สามารถดำเนินการได้โดยผ่านมูลนิธิกองทุนหลักประกันความเสียหายฉุกเฉินและพัฒนาคุณภาพของประชาชนโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ที่สามารถขับเคลื่อนได้ตามกลไกและรวดเร็ว ซึ่งในวันที่ 4 มิถุนายนนี้ ผู้บริหาร กนอ. จะเข้าพบกับผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เพื่อประชุมหารือเรื่องแต่งตั้งคณะทำงานฯ และเมื่อได้คณะทำงานฯ แล้ว ก็จะมีการประชุมเพื่อกำหนดกรอบ แนวทาง วางแผน วิเคราะห์ ประเมินผู้ได้รับผลกระทบ และชี้แจงรายละเอียดก่อนดำเนินการก่อสร้าง ส่วนเรื่องที่สอง คือ การจัดประชุมประชาสัมพันธ์โครงการในช่วงสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทาง กนอ. อยู่ระหว่างประสานกับทางจังหวัดระยอง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อหาแนวทางการจัดประชุมประชาสัมพันธ์โครงการก่อนเริ่มดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าสามารถดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้ ทั้งนี้ สำหรับโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เฟส 3 บริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินัล จำกัด ได้เข้าร่วมลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและท่าเทียบเรือ เพื่อรองรับการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติและวัตถุดิบเหลวสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง มีเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ โดยท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเป็นท่าเรืออุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หลังพัฒนาเสร็จจะมีความสามารถในการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติ และสินค้าเหลว ในปริมาณ 16 ล้านตันต่อปี ปัจจุบันมีผู้ประกอบการจำนวน 12 ราย เป็นผู้ให้บริการท่าเทียบเรือเฉพาะกิจ จำนวน 9 ราย แลผู้ให้บริการท่าเทียบเรือสาธารณะ จำนวน 3 ราย โดยปัจจุบันมีการใช้งานใกล้เต็มศักยภาพแล้วจึงมีความจำเป็นต้องขยายท่าเรือ เพื่อรองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมและความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ

 

ข่าวต่างประเทศ

 

4. นักวิจัยคาด “ภาวะโลกร้อน” ครอง1ใน3 “สาเหตุการตายเพราะความร้อน” (ที่มา: แนวหน้า , ประจำวันที่ 2 มิถุนายน 2564)

สำนักข่าวซินหัวรายงานงานวิจัยที่คณะนักวิจัยออสเตรเลียร่วมจัดทำและได้รับการเผยแพร่บนวารสาร เนเจอร์ ไคลเมต เชนจ์ (Nature Climate Change) เมื่อวันจันทร์ (31 พฤษภาคม) ระบุว่ากว่า 1 ใน 3 ของการเสียชีวิตทั่วโลกที่เกี่ยวข้องกับความร้อน มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากมนุษย์ โดยคณะผู้จัดทำงานวิจัยซึ่งมีคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโมนาชและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีรัฐควีนส์แลนด์ของออสเตรเลียเข้าร่วม ศึกษาการเสียชีวิตของประชาชน 30 ล้านคนในช่วงเกือบ 3 ทศวรรษ ในพื้นที่ 732 แห่ง ของประเทศและภูมิภาค 42 แห่ง โดยคณะผู้จัดทำใช้แบบจำลองทางระบาดวิทยาและสภาพภูมิอากาศล่าสุด เพื่อประเมินความเปลี่ยนแปลงของฤดูที่มีอากาศอบอุ่น และพบว่าร้อยละ 37 ของการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความร้อนอาจมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ “เราตรวจพบภาระทางสุขภาพที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอันมีสาเหตุมาจากมนุษย์ มันแพร่ขยายในวงกว้างอย่างมีนัยสำคัญ และคร่าชีวิตประชาชนหลักสิบจนถึงหลักร้อยรายต่อปี ในหลาย ๆ พื้นที่”

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนงานวิจัยพบว่าแม้สัดส่วนผู้ที่เสียชีวิตจากสภาพภูมิอากาศโดยมากจะอยู่ในประเทศที่มีอากาศอบอุ่น เช่น ทางตอนใต้ของยุโรป รวมถึงเอเชียใต้และตะวันตก แต่ยอดการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ยุคก่อนอุตสาหกรรม สามารถพบได้ในทุกทวีปที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ ขณะที่ กัวอวี้หมิง หัวหน้าหน่วยวิจัยสภาพภูมิอากาศและคุณภาพอากาศของมหาวิทยาลัยโมนาช ระบุในบทความของหนังสือพิมพ์ ซิดนีย์ มอร์นิง เฮรัลด์ (Sydney Morning Herald) ว่าการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความร้อนในฤดูที่อบอุ่นของออสเตรเลียคิดเป็นราวร้อยละ 1.8 ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด และราว 1 ใน 3 ของผู้เสียชีวิตเหล่านี้ มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สอดคล้องกับสถิติทั่วโลก อีกทั้ง รายงานระบุว่าช่วงปี 1991-2018 ผู้ที่อาจเสียชีวิตจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในเมือง 3 แห่งของออสเตรเลียอยู่ที่ 2,968 ราย โดยซิดนีย์มียอดผู้เสียชีวิตจากสาเหตุนี้สูงสุดที่ 1,484 ราย ตามด้วยเมลเบิร์น 924 ราย และบริสเบน 560 ราย

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)