ข่าวประจำวันที่ 6 ก.ค. 2564

ข่าวในประเทศ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

 

1. สุริยะ ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานไฟไหม้ สั่ง กรอ. เกาะติดสถานการณ์ (ที่มา: industry.go.th , ประจำวันที่ 6 กรกฎาคม 2564)

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงกรณีไฟไหม้โรงงานบริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตโฟม และเม็ดพลาสติก ภายในซอยกิ่งแก้ว 21 ถนนกิ่งแก้ว ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการไฟไหม้ ว่าได้รับรายงานตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ (5 กรกฎาคม) และได้สั่งการให้นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ให้เจ้าหน้าที่กรมโรงงานฯ ลงพื้นที่ด่วน เพื่อไปติดตามสถานการณ์โรงงานไฟไหม้ใกล้ชิด ซึ่งทาง กรอ.ได้ร่วมประชุมกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ และหน่วยงานในพื้นที่เพื่อเร่งหาสาเหตุและแนวทางอพยพช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่เป็นการเร่งด่วน โดยเบื้องต้นได้ส่งหน่วยเคลื่อนที่เร็วของ กรอ. เข้าไปในพื้นที่ตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุเมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา พร้อมกับส่งรถตรวจสภาพอากาศเข้าไปในพื้นที่แล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหาสาเหตุ และให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน สำหรับมาตรการเร่งด่วนในขณะนี้การดำเนินการแก้ไขปัญหาสภาพอากาศ ที่ กรอ. กรมควบคุมมลพิษ และสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 13 ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่โดยรอบ พร้อมตรวจวัดคุณภาพอากาศและปริมาณสารเคมีที่ก่อให้เกิดอันตราย

อย่างไรก็ตาม ด้านนายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า ในเบื้องต้น กรอ. ได้เคลื่อนย้ายประชาชนออกจากพื้นที่ไปยังพื้นที่ปลอดภัย โดยให้ห่างจากพื้นที่ที่สามารถติดไฟได้ พร้อมกับล้างสารเคมีที่เหลือด้วยน้ำปริมาณมากๆ ซึ่งสารสไตรีนโมโนเมอร์ (Styrene Monomer) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นผลิตโฟมก็มีคุณสมบัติติดไฟได้ง่าย ส่วนสารพอลิสไตรีนนั้น เมื่อถูกความร้อนสูง จะให้สาร 2 ชนิดคือ สไตรีน (Styrene) และเบนซีน (Benzene) โดยเบนซีนเป็นสารพิษอันตราย มีความเป็นพิษสูงและเป็นสารก่อมะเร็ง โดยอาการของผู้ที่ได้รับเบนซีนเมื่อหายใจเข้าไปในระดับสูงและเป็นเวลานาน คือในระยะแรก ๆ จะเกิดอาการซึม วิงเวียน คลื่นไส้ หมดสติ ใจสั่น เมื่อสูดดมเป็นเวลานานจะทำให้เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือด (Leukemia) ได้ สำหรับเหตุไฟไหม้ โรงงาน หมิงตี้ เคมีคอล ซอยกิ่งแก้ว 21 ล่าสุดยังไม่สามารถคุมเพลิงได้ แลละคาดว่ามูลค่าสินทรัพย์ในกองเพลิงเกือบ 700 ล้านบาท มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บนับสิบราย แรงระเบิดทำให้บ้านเรือนเสียหายเป็นวงกว้าง ล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้สั่งเร่งอพยพ รัศมี 5 กิโลเมตร เนื่องจากมีสารเคมี กว่า 10 ชนิด เพราะยังคุมเพลิงไม่ได้ เจ้าหน้าที่ถอนกำลังหวั่นระเบิดซ้ำ

 

นายวิชานัน นิวาตจินดา
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบาย
และยุทธศาสตร์การค้า
(สนค.)

 

2. ลุ้นรัฐขยายมาตรการลดค่าน้ำ ไฟฟ้า รับมืออาหารสด น้ำมันแพงดันเงินเฟ้อสูงต่อเนื่อง (ที่มา: ข่าวสด , ประจำวันที่ 6 กรกฎาคม 2564)

นายวิชานัน นิวาตจินดา รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป หรือเงินเฟ้อทั่วไป เดือนมิถุนายน 2564 เท่ากับ 99.93 เทียบกับเดือนพฤษภาคม 2564 เพิ่มขึ้น 0.38% เทียบกับเดือนมิถุนายน 2563 เพิ่มขึ้น 1.25% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ส่วนเงินเฟ้อเฉลี่ย 6 เดือน (มกราคม-มิถุนายน) เพิ่มขึ้น 0.89% ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานที่หักอาหารสดและพลังงานที่มีความผันผวนออก พบดัชนี 100.47 เพิ่มขึ้น 0.02% เทียบกับเดือนพฤษภาคม 2564 และเพิ่มขึ้น 0.52% เทียบกับเดือนมิถุนายน 2563 เฉลี่ย 6 เดือนเพิ่มขึ้น 0.27% ทั้งนี้ เงินเฟ้อที่ขยายตัวเป็นผลจากการสูงขึ้นของสินค้าในกลุ่มพลังงานที่ขยายตัว 8.95% และการสูงขึ้นรองราคาอาหารสด อาทิ เนื้อสุกร ไข่ไก่ ผลไม้สด และน้ำมันพืช ขณะที่มาตรการในเดือนนี้ชะลอตัว

อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของเงินเฟ้อในเดือนนี้นอกจากปัจจัยด้านพลังงานและอาหารสดบางชนิดแล้ว ยังมีสัญญาณสินค้าเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกและนำเข้า อาทิ ผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ขณะที่รายได้เกษตรกรก็ยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องตามราคาสินค้าเกษตรสำคัญหลายชนิด แนวโน้มเงินเฟ้อทั่วไปครึ่งหลังของปี 2564 ยังคงได้รับอิทธิพลจากราคาพลังงานสูง ประกอบกับเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณฟื้นตัวหลายประเทศ ส่งผลดีต่อการส่งออกและภาคการผลิต ที่ต่อเนื่องกับการส่งออก เป็นปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปียัง คงขยายตัวต่อเนื่อง โดยโควิด-19 ส่งผลต่อรายได้ การบริโภคโดยรวม และโอกาสที่ภาครัฐจะมีการใช้หรือขยายมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐอีกครั้ง โดยเฉพาะการลดค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปาทำให้อัตราการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อดังกล่าวจะเคลื่อนไหวในกรอบที่จำกัดและไม่เกินกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 1.0-3.0% ทั้งนี้ สนค. ได้ปรับสมมติฐานการประมาณการเงินเฟ้อให้สอดคล้องกับคาดการณ์เงินเฟ้อทั้งปี 2564 อยู่ในกรอบ 0.7-1.7% โดยค่ากลางอยู่ที่ 1.2% โดยมีสมมติฐานการขยายตัวเศรษฐกิจอยู่ที่ 1.5-2.5% จากเดิม 2.5-3.5% และหากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยจะมีการทบทวนอีกครั้ง

 

นายชลัช ชินธรรมมิตร์
ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำตาล
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.)

 

3. สอท. ลุ้นผลิตอ้อยแตะ 80-90 ล้านตัน (ที่มา: แนวหน้า , ประจำวันที่ 6 กรกฎาคม 2564)

นายชลัช ชินธรรมมิตร์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำตาล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมน้ำตาลฤดูการผลิตปี 2564/65 ที่จะทำการเปิดหีบอ้อยในช่วงปลายปีนี้ซึ่งจะมีโรงงานทั้งหมด 57 แห่ง มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องทั้งปริมาณผลผลิตอ้อยที่คาดว่าจะอยู่ในระดับ 80-90 ล้านตัน ที่สูงกว่าฤดูหีบปีที่ผ่านมา(ปี’63/64) ซึ่งอยู่ที่ 66.67 ล้านตัน ซึ่งจะส่งต่อผลผลิตน้ำตาลทรายและการส่งออกเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ประกอบกับราคาน้ำตาลทรายดิบตลาดโลกเฉลี่ยยังทรงตัวระดับสูงราว 17-18 เซนต์ต่อปอนด์ ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าอยู่ระดับ 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับฤดูหีบปีที่ผ่านมาเฉลี่ย 30-31บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะเอื้อต่อการส่งออก “ผลผลิตอ้อยได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วและฤดูหีบใหม่ปี’64/65 ที่จะเปิดหีบช่วงปลายปีนี้หรือราวต้นธ.ค.2564 ไม่มีใครมองว่าจะลดลงเพราะปริมาณฝนมากกว่าปีก่อนๆ พอสมควรแม้จะทิ้งช่วง ประกอบกับปัจจัยในเรื่องของราคาตลาดโลกก็เอื้อเพราะบราซิลผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลกประสบภาวะภัยแล้งทำให้ทิศทางราคายังยืนในระดับสูง” นายชลัชกล่าว

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของปริมาณโรงงานน้ำตาลทรายแม้ล่าสุดจะมีการปิดโรงานกุมภวาปีไปแต่ยังมีโรงงานเกิดใหม่ที่นครราชสีมาจึงทำให้โรงงานที่จะเปิดหีบมีจำนวน 57 แห่ง คงเดิมและศักยภาพการหีบก็เพิ่มขึ้นโดยยอมรับว่าปริมาณอ้อยหากอยู่ในระดับ 80-90 ล้านตัน ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ได้แย่นักแต่หากจะให้ดีปริมาณอ้อยควรอยู่ราว 100-130 ล้านตัน อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องติดตามขณะนี้คือการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ว่าจะมีทิศทางอย่างไรหากสถานการณ์ยังคงไม่ดีขึ้นหรือการฉีดวัคซีนยังไม่ทั่วถึงอาจจะกระทบต่อการตัดอ้อยเข้าหีบได้เพราะไทยต้องอาศัยแรงงานจากต่างด้าวเป็นหลัก

 

ข่าวต่างประเทศ

 

4. การใช้จ่ายภาคครัวเรือนญี่ปุ่นเดือนพฤษภาคมพุ่ง 11.6% (ที่มา: อินโฟเควสท์ , ประจำวันที่ 6 กรกฎาคม 2564)

กระทรวงฝ่ายกิจการภายในประเทศและการสื่อสารของญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า การใช้จ่ายของภาคครัวเรือนญี่ปุ่นพุ่งขึ้น 11.6% ในเดือนพฤษภาคมเมื่อเทียบรายปี หลังจากขยายตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนเมษายน โดยการใช้จ่ายภาคครัวเรือนดีดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ทรุดตัวลงอย่างหนักในปีที่แล้ว อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยการใช้จ่ายเฉลี่ยของภาคครัวเรือนที่มีสมาชิกอย่างน้อย 2 คนอยู่ที่ 281,063 เยน (2,500 ดอลลาร์) ซึ่งการเพิ่มรายปีครั้งนี้ถือเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่ญี่ปุ่นได้เริ่มจัดเก็บข้อมูลในเดือนมกราคม 2544 รองจากในเดือนเมษายนที่ผ่านมาที่มีการขยายตัว 13% อีกทั้ง การใช้จ่ายภาคครัวเรือนของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน โดยเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ปรับตัวขึ้น 6.2%

อย่างไรก็ดี หากเทียบเป็นรายเดือน การใช้จ่ายภาคครัวเรือนเดือนพฤษภาคม ลดลง 2.1% จากเดือนเมษายน และเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 4 เดือน ขณะที่ เจ้าหน้าที่กระทรวงฯ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า การใช้มาตรการคุมโควิด-19 รอบที่ 3 ในญี่ปุ่น ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนจนถึงกลางเดือนมิถุนายนในโตเกียว ได้ฉุดรั้งการบริโภคภาคเอกชน ส่วนรายได้ต่อเดือนโดยเฉลี่ยของครัวเรือนที่มีสมาชิกอย่างน้อย 2 คนในเดือนพฤษภาคมลดลง 2.6% เมื่อเทียบรายปี แตะที่ 489,019 เยน หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.8% ในเดือนเมษายน ทั้งนี้ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การใช้จ่ายของภาคครัวเรือนถือเป็นดัชนีชี้วัดการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของญี่ปุ่น

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)