ข่าวประจำวันที่ 17 มิ.ย. 2565

ข่าวในประเทศ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

 

1. "สุริยะ" คลอดกม. บังคับ 600 กว่าโรงงาน ติดตั้งระบบ CEMS คุมมลพิษมีผลมิ.ย.66 (ที่มา: ผู้จัดการรายวัน 360 องศา, ประจำวันที่ 17 มิถุนายน 2565) 

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประกาศ เรื่อง กำหนดให้โรงงานต้องติดตั้งเครื่องมือหรือเครื่องอุปกรณ์พิเศษ เพื่อรายงานมลพิษอากาศจากปล่องโรงงาน พ.ศ. 2565 ให้โรงงานขนาดใหญ่ 13 ประเภทที่ระบายมลพิษจากปล่องกว่า 600 โรงงานทั่วประเทศ ต้องติดตั้งระบบตรวจสอบการระบายมลพิษอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติต่อเนื่อง (Continuous Emission Monitoring Systems : CEMS) และเชื่อมโยงข้อมูลไปยังกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เพื่อควบคุมเฝ้าระวังการระบายมลพิษอากาศจากปล่องแบบ Real time ตลอด 24 ชั่วโมง มีผลตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป โดยโรงงานเก่าต้องติดตั้งให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 9 มิถุนายน 2567 ส่วนโรงงานที่ขออนุญาตใหม่ต้องติดตั้ง CEMS ให้แล้วเสร็จก่อนเริ่มประกอบกิจการโรงงาน ทั้งนี้ นอกจากเจ้าหน้าที่จะสามารถดูค่าการระบายมลพิษได้ตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว ยังเปิดให้ประชาชนเข้าดูค่าการระบายมลพิษจากปล่องผ่านแอปพลิเคชัน POMS เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของภาคอุตสาหกรรมที่จะไม่ระบายมลพิษเกินค่ามาตรฐานที่กำหนด และพร้อมให้ภาคประชาชนตรวจสอบ โดยสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน POMS ได้ทั้งระบบ ไอโอเอส และแอนดรอยด์

อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรอ. ได้ดำเนินการปรับปรุงประกาศกระทรวงฉบับดังกล่าวแล้วเสร็จ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา 10 มิถุนายน 2565 แล้ว โดยจะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 365 วันนับถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป คือวันที่ 10 มิถุนายน 2566 เป็นการขยายพื้นที่บังคับใช้ให้โรงงานติดตั้ง CEMS เพื่อรายงานมลพิษอากาศจากปล่องระบายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ จากเดิมบังคับใช้ในจังหวัดระยองแห่งเดียว รวมทั้งปรับปรุงประเภทโรงงาน และชนิดของมลพิษที่ต้องตรวจวัด เพื่อควบคุมกำกับดูแลการระบายมลพิษอากาศในกลุ่มโรงงานขนาดใหญ่ ที่มีการระบายมลพิษสูงหรือกระบวนการผลิตสุ่มเสี่ยงจะมีการระบายสารมลพิษ

 

 

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

2. ไทย-จีนร่วมลดปัญหาคอขวดส่งออกผลไม้ (ที่มา: ไอ.เอ็น.เอ็น., ประจำวันที่ 17 มิถุนายน 2565)

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการขับเคลื่อนความร่วมมือไทย-จีน ส่งผลให้การส่งออกผลไม้ของไทยมีความคล่องตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากต่างจากช่วงก่อนหน้าที่ประสบปัญหาจากมาตรการ Zero-Covid ที่มีการตรวจเข้มการปนเปื้อนของเชื้อโควิด-19 ในผลไม้ ณ ด่านพรมแดนเข้าประเทศจีนจึงต้องใช้เวลานานมากกว่าจะผ่านด่านเสี่ยงต่อการเน่าเสียของผลไม้ไทย ซึ่งขณะนี้ปัญหาดังกล่าวได้คลี่คลายแล้ว ขณะเดียวกัน การทำงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ในเรื่องการทำการตลาดทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ การป้องกันการปนเปื้อนด้วยมาตรฐาน GMP Plus เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลไม้ไทยเป็นที่ยอมรับและต้องการของตลาดจีนอย่างมาก โดยเฉพาะทุเรียนที่ปีนี้ส่งออกทำลายสถิติปี 2564 โดยฤดูกาลปี 2565 ระหว่าง 1 กุมภาพันธ์ - 5 มิถุนายน 2565 มีปริมาณ ส่งออก 4.33 แสนตัน ในขณะที่ปี 2564 ทั้งปีมีปริมาณการส่งออก 4.25 แสนตัน ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ได้รายงานความคืบหน้าการขับเคลื่อนความร่วมมือไทย-จีน โดยการเพิ่มศักยภาพการตรวจปล่อยและขนส่งสินค้า 1.1 ขยายวันทำการของด่านทางบก 4 แห่งจาก 5 วันเป็น 7 วันและขยายเวลาทำการเป็น 10 ชั่วโมงต่อวัน 1.2 ท่าเรือชินโจในเขตปกครองตนเองกวางสีจ้วง เพิ่มความพร้อมในการ   รับเรือสินค้าจากท่าเรือแหลมฉบังจากเดิม 4 เที่ยว/สัปดาห์ เป็น7 เที่ยว/สัปดาห์ 1.3 เพิ่มการขนส่งผลไม้จากไทยไปจีนทางอากาศ

อย่างไรก็ตาม แม้ทางการจีนจะให้ความร่วมมือกับฝ่ายไทยอย่างมาก แต่มาตรการ Zero-Covid ยังคงเป็นไปอย่างเข้มงวด ทางกระทรวงเกษตรฯจึงขอให้ผู้ส่งออกผลไม้ทุกชนิดปฏิบัติตามมาตรฐาน GMP plus เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโควิด-19 ปนเปื้อนไปกับตู้สินค้า บรรจุภัณฑ์ และผลไม้เพราะหากมีการตรวจพบการปนเปื้อน สินค้าจะถูกทำลายหรือถูกระงับการส่งออก และด้วยในช่วงนี้กำลังเข้าสู่ฤดูลำไย ทางกระทรวงฯจึงได้เตรียมความพร้อมการส่งออกลำไยเพื่อให้ปลอดโรคเพลี้ยแป้งและการปนเปื้อนโควิด-19 โดยเชิญผู้เกี่ยวข้อง เช่น เกษตรกร สหกรณ์ ล้ง ผู้รวบรวมผลไม้ ผู้ส่งออก มาร่วมหารือโดยวางแผนจะนำโมเดลที่ดำเนินการกับทุเรียนมาใช้

 

นายสนั่น อังอุบลกุล

ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

 

3. ข้อเสนอนักธุรกิจถึงรัฐบาล ทางออกฝ่าวิกฤตน้ำมัน-เงินเฟ้อ (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 17 มิถุนายน 2565)

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำมันแพงในตอนนี้เป็นสิ่งเร่งด่วนที่ต้องหารือ หากราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 35 บาท/ลิตร และทะลุกรอบไปถึง 40 บาท/ลิตร ที่เร็วเกินไป จะยิ่งกระทบต่อต้นทุนผลิต และทำให้สินค้าและบริการทยอยปรับขึ้นราคา เป็นการซ้ำเติมประชาชน ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจยิ่งฟื้นตัวได้ช้าลงไปเรื่อยๆ ประชาชนไม่เชื่อมั่นและกลัวการจับจ่ายใช้สอย เพราะคาดว่าสินค้าจะทยอยแพงขึ้น รวมถึงผู้ประกอบการบางส่วน อาจจะมีการเก็บกักตุนสินค้า เพื่อไปปล่อยในราคาที่สูงต่อไป ปัญหาปริมาณสินค้าตึงตัวได้ ทั้งนี้ จากตัวเลขเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อยู่ที่ระดับ 7.1% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 เดือนแรกของปี 2565 อยู่ที่ระดับ 5.1% และสูงกว่ากรอบประมาณการของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย) ที่คาดการณ์ไว้ 5.5% ล่าสุด มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยปรับประมาณการตัวเลขเงินเฟ้อ ของปี 2565 อยู่ที่ 6% สาเหตุมาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งเอกชนยังเชื่อว่าราคาน้ำมัน จะยังคงสูงอย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีนี้ หากเศรษฐกิจของโลกมีการฟื้นตัว รวมทั้งมีความต้องการที่เพิ่มขึ้นของจีน หลังจากเริ่มคลายล็อกจากสถานการณ์โควิด-19 ขณะที่ประเทศผู้ผลิตน้ำมันก็ยังไม่เพิ่มกำลังการผลิต ราคาน้ำมันอาจถีบตัวสูงขึ้นกว่านี้ โดยอาจได้เห็นราคาน้ำมันดีเซลสูงใกล้ๆ ลิตรละ 40 บาท ได้ในไม่ช้า

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องมีการเตรียมออกมาตรการช่วยเหลือเพื่อลดผลกระทบให้กับประชาชนไปพร้อมกับการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ที่สำคัญต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อสร้างการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากราคาน้ำมันได้ทางหนึ่ง หอการค้าไทยจึงเสนอ 4 เรื่องสำคัญที่อยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ ได้แก่ 1. รัฐบาลต้องพยายามตรึงราคาน้ำมันดีเซลให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือถ้าจำเป็นจะต้องขึ้นราคา ให้ทยอยขึ้นเท่าที่จำเป็น เพื่อให้มีการปรับตัว รอให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวได้มากกว่านี้ก่อน เพื่อไม่ให้ต้นทุนสินค้าแพงขึ้นเร็วเกินไป 2. การเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ ส่วนนี้จำเป็นมากเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ การปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) รอบนี้จะช่วยให้พยุงเศรษฐกิจและฟื้นฟูธุรกิจให้กลับมาเดินหน้าได้ 3. สำหรับมาตรการคนละครึ่ง เฟส 5 ที่เป็นการเพิ่มกำลังซื้อช่วงนี้ หากจะให้เป็นการทั่วไปนั้น อาจจะไม่เหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้แล้ว เพราะเงินเฟ้อสูงกว่าที่คาดไว้ และ 4. เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ รัฐบาลต้องมาพิจารณาปรับในส่วนนี้เพื่อให้เหมาะสมกับเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยควรพิจารณาตามพื้นที่เป็นมติของคณะกรรมการไตรภาคีของแต่ละจังหวัด

 

ข่าวต่างประเทศ

 

4. เดือนพ.ค.65 ญี่ปุ่นขาดดุลการค้าหนักสุดรอบกว่า 8 ปี (ที่มา:thejournalistclub, ประจำวันที่ 17 มิถุนายน 2565)

กระทรวงการคลังของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า เดือนพฤษภาคม 2565 มูลค่าการนำเข้าพุ่งขึ้นสูงถึง 48.9% เมื่อเทียบเดือนพฤษภาคม 2564 ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์เฉลี่ยในโพลของรอยเตอร์ที่คาดไว้ว่าอาจเพิ่มขึ้น 43.6% ขณะที่มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเพียง 15.8% ส่งผลให้ขาดดุลการค้า 2.385 ล้านล้านเยน (17,800 ล้านเหรียญฯ) นับเป็นการขาดดุลมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2557 เป็นต้นมา นอกจากนี้ มูลค่าการขาดดุลดังกล่าว ยังเป็นการขาดดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 และขาดดุลมากกว่าที่โพลของรอยเตอร์คาดไว้ที่ 2.023 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงอุปสรรคที่ญี่ปุ่นเผชิญอยู่จากการอ่อนค่าของเงินเยน และต้นทุนด้านเชื้อเพลิงและวัตถุดิบที่พุ่งสูงขึ้น โดยทั้งเชื้อเพลิง และวัตถุดิบนำเข้าเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตภายในประเทศจำเป็นต้องนำเข้า

อย่างไรก็ตาม สำหรับด้านการส่งออกเดือนพฤษภาคม 2565 เมื่อแยกเป็นรายประเทศ พบว่า การส่งออกไปจีน ประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด หดตัวลง 0.2% เมื่อเทียบเดือนพฤษภาคม 2564 เพราะการส่งออกเครื่องจักรและอุปกรณ์การขนส่งไปจีนลดลง แต่การส่งออกไปสหรัฐฯกลับเพิ่มขึ้น 13.6% เพราะการส่งออกเครื่องจักรและแร่เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นมาก

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)