ข่าวประจำวันที่ 28 ก.ย. 2565

ข่าวในประเทศ

นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี

รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

1. ดึงญี่ปุ่นร่วมขับเคลื่อน อุตสาหกรรมการแพทย์ของไทย (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 28 กันยายน 2565)

 

นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ปัจจุบันเวชศาสตร์ฟื้นฟู โดยเฉพาะเทคโนโลยีสเต็มเซลล์ (Stem Cell) เป็นเทคโนโลยีที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ประกอบกับไทยได้กำหนดให้อุตสาหกรรมการแพทย์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย การพัฒนาให้เกิดความร่วมมือในเทคโนโลยีดังกล่าวระหว่างประเทศญี่ปุ่นกับไทย จึงอาจมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการแพทย์ของไทยให้เป็นศูนย์กลางการรักษาพยาบาลได้ในอนาคต โดยเฉพาะธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพ และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ รวมไปถึงการเป็นผู้นำทางการแพทย์และสุขภาพครบวงจร ทั้งนี้ กระทรวงฯ ได้มีโอกาสการเข้าเยี่ยมชมและศึกษาดูงาน N2 CLINIC ซึ่งเป็นผู้ให้บริการทางด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูผ่านเทคโนโลยีสเต็มเซลล์ เช่น การบำบัดด้วยสเต็มเซลล์ (Stem Cell Therapy) และการบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy) ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น พบว่า Stem Cell คือ เซลล์ชนิดหนึ่งที่เป็นต้นกำเนิดในการเจริญเติบโตหรือสามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นอวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้ ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการสร้างจำนวนเซลล์และเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ เพื่อทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสภาพในร่างกาย

อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ได้เข้าเยี่ยมชมและศึกษาดูงานการพัฒนาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติของ Tokyo Metropolitan Industrial Technology Research Institute (TIRI) โดย TIRI เป็นสถาบันที่ทำหน้าที่สนับสนุนงานด้านการวิจัยและเทคโนโลยีให้กับบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กของญี่ปุ่น เช่น การทำวิจัยร่วมกับเอกชน การสนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า การให้เช่าเครื่องมือหรืออุปกรณ์สำหรับการวิเคราะห์ วิจัย รวมถึงการให้ใช้สถานที่ทดสอบระบบ 5G และการให้บริการทดสอบชิ้นงานพร้อมให้คำแนะนำ เป็นต้น ซึ่งงบประมาณหลักของสถาบันได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกรุงโตเกียว โดยการหารือครั้งนี้มีการนำเสนอแนวทางความร่วมมือระหว่าง TIRI และสถาบันไทย-เยอรมัน ในอนาคตด้วย

 

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล

ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

 

2. ผวาบาทอ่อนทะลุ 39 บาท (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 28 กันยายน 2565)

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 28 กันยายน 2565 นี้ ต้องติดตามว่า จะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ เบื้องต้นหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า จะขยับอีก 0.25% ต่อปี ไปอยู่ที่ระดับ 1% ต่อปี จากภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ระดับสูงและค่าเงินบาทที่อ่อนค่า หากยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเลยจะยิ่งทำให้แนวโน้มค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าต่อเนื่องได้ และจะกดดันให้ไทยเกิดขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งค่าเงินบาทของไทยมีโอกาสหลุด 38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ตามทิศทางการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ล่าสุดปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% และจะขึ้นดอกเบี้ยอีกไปสู่ระดับ 4.4% สิ้นปีนี้จะทำให้ค่าเงินทุกสกุลอ่อนค่าลง เช่นเดียวกับค่าเงินบาทของไทยที่หากไม่ทำอะไรก็จะหลุด 39 บาทต่อดอลลาร์ และอ่อนไปเรื่อยๆ เช่นกัน ดังนั้นคงต้องดูว่า กนง.จะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% หรือ 0.50% คิดว่าน่าจะทยอยขึ้น

อย่างไรก็ตาม สำหรับค่าเงินบาทที่อ่อนค่านั้นมีทั้งปัจจัยบวกและลบจำเป็นต้องวางสมดุล กล่าวคือจะส่งผลดีต่อภาคส่งออกและการท่องเที่ยว ในมุมกลับกันการนำเข้าจะสูงขึ้นทั้งในแง่วัตถุดิบ เครื่องจักร และที่สำคัญคือ พลังงาน ที่ไทยต้องพึ่งพิงการนำเข้าน้ำมันดิบถึงวันละประมาณ 9 แสนบาร์เรล ยังไม่รวมถึงก๊าซธรรมชาติเหลวอีก เหล่านี้ทำให้ไทยต้องจ่ายเพิ่มขึ้นสะท้อนจากการส่งออกล่าสุด 8 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม - สิงหาคม) มีมูลค่า 196,446.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 11% การนำเข้า มีมูลค่า 210,578.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 21.4% ส่งผลให้ไทยขาดดุล 14,131.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การขาดดุลฯ เหล่านี้ ส่วนใหญ่มาจากการนำเข้าพลังงาน

 

ม.ล.ชโยทิต กฤดากร

ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย

 

3. ต่างชาติยื่น 'วีซ่านักลงทุน' คึกคัก (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, ประจำวันที่ 28 กันยายน 2565)

ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยว่า ถือเป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับการเริ่มต้นนโยบายวีซ่าประเภทใหม่ "Long-Term Resident Visa" หรือ "LTR Visa" ได้เปิดใช้อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา โดยนอกจากการยื่นใบสมัครของชาวต่างชาติที่เป็นกลุ่มที่เข้ามาทำงานและลงทุนในไทยอยู่แล้ว นโยบายนี้ยังช่วยให้ชาวต่างชาติที่กำลังตัดสินใจว่าจะย้ายฐานเข้ามาลงทุนในประเทศไทย หรือไม่ ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพราะวีซ่า "LTR" อำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน และคนที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทย สำหรับเป้าหมายของการดึงนักลงทุนและชาวต่างชาติเข้ามาพำนักระยะยาวในประเทศไทย ยังคงเป้าหมายไว้ที่ 1 ล้านคน ภายใน 5 ปี จึงต้องมีกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้ เข้ามากว่าปีละ 200,000 คน ดังนั้น ในระยะต่อไปจึงเป็นงานใหญ่ในการดึงดูดคนกลุ่มนี้เข้ามายังประเทศไทย ซึ่งจะต้องมีการโรดโชว์ประชาสัมพันธ์นโยบายนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูแลนโยบายเรื่องนี้โดยเฉพาะ ทั้งนี้ ทางด้านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยรายงานสถิติผลการดำเนินการวีซ่า LTR ตั้งแต่ที่บีโอไอได้เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา ถึงวันที่ 21 กันยายน 2565 มีจำนวนคำขอทั้งหมด 630 คำขอ โดยมีผู้ขอรับรองคุณสมบัติวีซ่าประเภทกลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ (Wealthy Pensioner) มากที่สุด จำนวน 248 คำขอ คิดเป็นสัดส่วน 39% รองลงมา ได้แก่ กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย (Work-from Thailand professional) จำนวน 182 คำขอ คิดเป็น 29% ส่วนลำดับต่อมาที่มีการยื่นขอวีซ่า ได้แก่ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญพิเศษ (High-skilled professional) จำนวน 80 คำขอ คิดเป็น 13% และที่มีการยื่นเข้ามาน้อยที่สุด คือ กลุ่มประชากรผู้มีความมั่งคั่งสูง (Wealthy global citizen) จำนวน 50 คำขอ คิดเป็น 8% ที่เหลือเป็นการยื่นคำขอของคู่สมรสและบุตร 70 คำขอ คิดเป็น 11% ของคำขอทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงอุตสาหกรรมเป้าหมาย สำหรับให้คนต่างด้าวซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ ทักษะสูง นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูงและ ผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น มีสิทธิขออนุญาต เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ (Smart Visa) จากเดิม 13 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เป็น 18 อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เพิ่ม ได้แก่ 1. อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ 2. อุตสาหกรรมที่สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยตรงและมีนัยสำคัญ 3. อุตสาหกรรมอากาศยานและอวกาศ 4. การบริหารเทคโนโลยี นวัตกรรมและกลุ่มสตาร์ตอัปเทคโนโลยี และการบริหารจัดการสมัยใหม่ และการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย และ 5. ศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ

 

ข่าวต่างประเทศ

 

4. ปธ.เฟดมินนีแอโพลิส ชีhเฟดมีฉันทามติคุมเข้มการเงินเชิงรุกด้วยความเร็วที่เหมาะสม (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 28 กันยายน 2565)

นายนีล แคชคารี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขามินนีแอโพลิสเปิดเผยในวันอังคาร (27 กันยายน 2565) ว่า เจ้าหน้าที่เฟดมีความคิดเห็นสอดคล้องกันที่จะทำทุกวิถีทางที่จำเป็น เพื่อฉุดเงินเฟ้อลง และเชื่อว่าตลาดการเงินเข้าใจในเรื่องนี้ โดยเฟดเตรียมดำเนินมาตรการคุมเข้มนโยบายการเงินอีกมากในอนาคต ซึ่งยึดมั่นต่อการฟื้นฟูเสถียรภาพเงินเฟ้อ แต่เรายอมรับด้วยว่าการคุมเข้มนโยบายการเงินมากเกินไปนั้นมีความเสี่ยงรออยู่ เมื่อพิจารณาถึงผลลัพธ์ที่ล่าช้า ดังนั้นผมจึงคิดว่าเรากำลังดำเนินการคุมเข้มการเงินเชิงรุกด้วยความเร็วที่เหมาะสม นอกจากนี้ เฟดมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 ในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในการต่อสู้เงินเฟ้อที่ดุเดือดที่สุดในรอบ 40 ปี โดยนับจากนั้นมา ตลาดหุ้นสหรัฐก็เผชิญแรงเทขาย ขณะที่สกุลเงินหลายสกุลทั่วโลกปรับตัวลดลง

อย่างไรก็ตาม นายแคชคารีแสดงความเชื่อมั่นว่า ตลาดการเงินสามารถปรับตัวรับเจตจำนงของเฟดในการฉุดเงินเฟ้อลงได้แล้ว และนโยบายการเงินที่ตึงตัวอยู่แล้วในขณะนี้ จะต้องตึงตัวมากยิ่งขึ้นในอนาคต โดยขณะนี้เศรษฐกิจส่งสัญญาณแบบไร้ทิศทางให้แก่เรา แต่ผมเชื่อว่าเราจำเป็นต้องเดินหน้าคุมเข้มนโยบายการเงินจนกว่าจะได้เห็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า แนวโน้มเงินเฟ้อที่ขณะนี้เคลื่อนไหวที่ระดับสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟดถึง 3 เท่านั้น เริ่มปรับตัวลดลง

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)