ข่าวประจำวันที่ 13 มกราคม 2566

ข่าวในประเทศ

นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์

อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์

1. ขนมขบเคี้ยวไขมันต่ำมาแรง พาณิชย์ชี้ช่องส่งออกเจาะตลาดจีน (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 13 มกราคม 2566)

นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า ตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้มอบหมายให้กรมฯ สำรวจลู่ทางและโอกาสการส่งออกสินค้าไทยในประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้รับรายงานจากนางสาวเนตรนภิศ จุลกนิษฐ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน ถึงแนวโน้มการทำตลาดสินค้าขนมขบเคี้ยวไขมันต่ำที่กำลังเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภคชาวจีน โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคชาวจีน ให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ แต่ก็ยังคงมีความต้องการด้านรสชาติอาหารที่อร่อยควบคู่ไปกับประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพ ทำให้อุตสาหกรรมขนมขบเคี้ยวของจีนค่อยๆ ปรับตัว เพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์การบริโภคดังกล่าว เช่น การเปิดตัวของผลิตภัณฑ์อาหารที่ไม่ใส่สารเติมแต่ง ใช้วัตถุดิบธรรมชาติ มีน้ำตาลและไขมันต่ำ ซึ่งกำลังทยอยเข้าสู่ท้องตลาด นอกจากนี้ ในปัจจุบันมีบริษัทผู้ผลิตอาหารหลายรายได้เริ่มศึกษาวิจัยเทคนิคการผลิตอาหารที่มีไขมันเล็กน้อย หรือไขมันเท่ากับศูนย์ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค โดยเปิดตัวขนมขบเคี้ยว ของว่างหลากหลายชนิดที่เน้นจุดขาย ไขมันต่ำ เช่น เค้กบุกไขมันต่ำ เนื้อวัวอบแห้งไขมันต่ำ เป็นต้น รวมถึงผู้ผลิตมันฝรั่งแผ่นทอดหลายรายที่ได้พัฒนาและเปิดตัวมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบที่มีไขมันต่ำ เช่น Lay's ได้เลือกใช้น้ำมัน rapeseed oil-lowerucic acid มาทอด ทำให้ไขมันอิ่มตัวลดลง 50% แต่ราคาขายทำได้สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม เทรนด์การบริโภคอาหารมักจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และความต้องการของ ผู้บริโภคก็จะได้รับการอัปเดตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยปัจจุบันขนมขบเคี้ยวที่วางจำหน่ายในตลาดจีน ผู้ผลิตส่วนใหญ่จะเลือกปรับปรุงผลิตภัณฑ์ในด้านเทคนิคการผลิต ส่วนผสม และบรรจุภัณฑ์ อย่างเช่น สตรอว์เบอร์รี่อบแห้ง (พัฒนาด้านเทคนิคการผลิต) ขนมเวเฟอร์ที่เติมโปรไบโอติก และเยลลี่ น้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ (ปรับปรุงด้านส่วนผสม) ถั่วเปลือกแข็งบรรจุในซองขนาดเล็ก (ปรับปรุงด้านบรรจุภัณฑ์) เป็นต้น ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจด้านอาหารของไทย ควรติดตามแนวโน้มการบริโภคของตลาดจีนอย่างใกล้ชิด พยายามส่งเสริมการผลิตสินค้าที่ทำให้ผู้บริโภคมีวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีมากขึ้น โดยเน้นงานวิจัย นวัตกรรม และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ศึกษารวบรวมข้อมูลความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับสารอาหารและสื่อสารทำความเข้าใจกับผู้บริโภค ติดตามผลสะท้อนกลับจากผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์ เพื่อปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งสำรวจทิศทางตลาดที่เหมาะสมกับการพัฒนาของตนเอง ซึ่งจะทำให้มีโอกาสในการ ผลักดันสินค้าเข้าสู่ตลาดจีนได้เพิ่มขึ้น

 

A person folding the arms

Description automatically generated with medium confidence

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์

ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า

 

2. 'ดีป้า' ร่วมลงทุนสตาร์ตอัพ (ที่มา: ข่าวหุ้น, ประจำวันที่ 13 มกราคม 2566)

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า ดีป้าร่วมกับกลุ่มบริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทเงินร่วมลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชน จึงได้เข้าลงทุนใน บริษัท แอ็คโคแมท จำกัด (ZTRUS) ดิจิทัลสตาร์ตอัพที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูงมาให้บริการแปลงข้อมูลสู่ดิจิทัล เพื่อผลักดันสู่ระดับ Pre-Serie A ผ่านมาตรการช่วยเหลือหรือการอุดหนุนเพื่อการเริ่มต้นธุรกิจอุตสาหกรรมดิจิทัล (depa Digital Startup Fund) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลในการให้บริการและอำนวยความสะดวก กระบวนการทำงานและงานเอกสารแก่ผู้ประกอบการไทยให้ก้าวไปสู่ยุคดิจิทัลโดยสมบูรณ์ ซึ่งการส่งเสริมดิจิทัลสตาร์ตอัพสัญชาติไทยที่มีศักยภาพให้สามารถยกระดับประสิทธิภาพของตนเอง ต่อยอดธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับ ZTRUS คือหนึ่งในดิจิทัลสตาร์ตอัพสัญชาติไทยที่ดีป้าให้การส่งเสริม โดยเล็งเห็นถึงประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ซึ่ง ZTRUS นับเป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนผ่านกระบวนการทำงานและงานเอกสารของผู้ประกอบการไทยให้ก้าวไปสู่ยุคดิจิทัลโดยสมบูรณ์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจ ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่าง ดีป้า กลุ่มบริษัท วินเซิร์ฟ คอร์ปอเรชั่น และ อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยให้ ZTRUS สามารถยกระดับเทคโนโลยีของตนเอง เพื่อพัฒนาโซลูชันในการให้บริการ ควบคู่ไปกับการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นในระยะถัดไป

 

A person in a suit and tie

Description automatically generated with medium confidence

นายธนิต โสรัตน์

รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย

 

3. ลุ้นต่อลดภาษีดีเซล 3 เดือน ตรึงราคาไม่เกิน 35บ./ลิตร (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 13 มกราคม 2566)

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย และประธานกรรมการบริษัทในเครือวี-เซิร์ฟ ผู้ประกอบการ ด้านโลจิสติกส์ของไทย เปิดเผยว่า ต้องการให้ภาครัฐ โดยกระทรวงการคลังขยายมาตรการลดภาษีสรรพสามิตดีเซล 5 บาทต่อลิตร ที่จะสิ้นสุด 22 มกราคม 2566 ควรต่ออายุไปอีก 3 เดือน เพื่อสนับสนุนการตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกิน 35 บาทต่อลิตร เพราะน้ำมันตลาดโลกเริ่มอ่อนตัวและเศรษฐกิจจำเป็นต้องดูแลในช่วงกำลังฟื้นตัว ซึ่งตามปกติแล้วราคาดีเซลควรต่ำกว่าเบนซิน แต่ขณะนี้ดีเซลเริ่มสูงกว่าเบนซินบางชนิดแล้ว แต่เข้าใจว่าที่ผ่านมากองทุนฯ ยังมีหนี้สูง ดังนั้นดีเซลหากไม่ลดลงก็ไม่ควรสูงเกิน 35 บาทต่อลิตร เพราะกดดันค่าขนส่ง

 

อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวจากคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) กล่าวว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เรียกเก็บเงินจากดีเซลเข้ากองทุนฯ เฉลี่ยอยู่ที่ 5 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95,91 เฉลี่ยอัตราลิตรละ 2 บาท แก๊สโซฮอล์ อี 20 และอี 85 อยู่ที่ 0.31 บาทต่อลิตร ขณะที่ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ยังต้องอุดหนุนอยู่ที่ 6.55 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ภาพรวมเริ่มมีเงินไหลเข้าแต่ฐานะสุทธิกองทุนน้ำมันฯ ยังคงติดลบ 119,771 ล้านบาท จากการตรึงราคาดีเซลและแอลพีจีในช่วงที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 75,214 ล้านบาท แอลพีจีติดลบ 44,557 ล้านบาท ทั้งนี้ ภาษีสรรพสามิตดีเซลคงอยู่ที่นโยบายรัฐบาลเป็นสำคัญว่าจะต่ออายุหรือไม่ ถ้าไม่ต่ออายุหากดูจากกองทุนฯ ที่เก็บดีเซลสะสม 5 บาทต่อลิตร ราคาขายปลีกก็จะไม่เปลี่ยนแต่เงินดีเซลก็อาจต้องติดลบอีกหากระยะต่อไปราคาตลาดโลกสูง หากลดต่อเนื่องไม่กระทบมากแต่เมื่อจีนเปิดประเทศจะมีการใช้มากขึ้น

 

ข่าวต่างประเทศ

A picture containing background pattern

Description automatically generated

4. ตลาดรถอีวีจีนเสี่ยงโตลดลง ส่อง 5 แบรนด์ดังกินตลาด 60 % (ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, ประจำวันที่ 13 มกราคม 2566)

เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ เปิดเผยรายงานว่า การสิ้นสุดมาตรการอุดหนุนการซื้อรถอีวีของทางการจีนที่มีผลเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา ได้สร้างความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดอีวีจีน ที่ได้รับการส่งเสริมกระตุ้นยอดขายมาโดยตลอดช่วง 12 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ข้อมูลของสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจีน (ซีพีซีเอ) คาดว่า ผู้ผลิตอีวีในจีนราว 200 ราย จะส่งมอบรถอีวีประมาณ 8.4 ล้านคัน ในปี 2566 เพิ่มขึ้นราว 30% จาก 6.4 ล้านคันในปี 2565 แต่อัตราการเพิ่มขึ้นดังกล่าวเทียบไม่ได้กับการเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดในปี 2565 ถึง 114% จาก 2.99 ล้านคันในปี 2564 ขณะที่ "บีวายดี" (BYD) ได้ขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตอีวีรายใหญ่ที่สุดของโลก หลังจากยอดขายทั่วโลกในปี 2565 ที่ผ่านมาพุ่งสูงถึง 1.85 ล้านคัน ขึ้นแซงยักษ์ใหญ่สหรัฐ "เทสลา" ไปแล้ว โดยยอดขายของบีวายดีส่วนใหญ่เป็นตลาดในจีน ผลจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้รถอีวีของ "บีวายดี" ที่มีความคุ้มราคาได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อระดับกลางมากขึ้น สำหรับแบรนด์รถอีวีที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในจีน (มกราคม - พฤศจิกายน 2565) "บีวายดี" ครองมาร์เก็ตแชร์อันดับหนึ่ง 30.6% ตามมาด้วย SAIC-GM-Wuling 8.3%, เทสลา 7.6%, GAC 4.6%, เฌอรี่ 4.1% และฉางอัน 3.8%

อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของอีวีจีน อยู่ที่อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ โดยมีบริษัทจีนถึง 6 แห่ง ติด Top 10 ของผู้ผลิตแบตเตอรี่อีวีโลก ได้แก่ ซีเอทีแอล (CATL) บีวายดี ซีเอแอลบี (CALB) โกชัน ไฮเทค (Gotion High-tech) ซันโวดะ (Sunwoda) และอีฟ เอนเนอร์จี (Eve Energy) ซึ่งแบตเตอรี่อีวีจีนคิดเป็นสัดส่วนถึง 60.5% ของตลาดโลก โดยการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่จีนได้รับแรงหนุนสำคัญจากยอดขายรถอีวี ซึ่งหากยอดขายอีวีจีนเติบโตช้าลงในปีนี้ก็อาจส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตแบตเตอรี่เช่นกัน

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)