ข่าวในประเทศ
นายวีริศ อัมระปาล
ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
1. ยกระดับโรงงานในนิคมฯ (ที่มา: สยามรัฐ, ประจำวันที่ 21 มิถุนายน 2566)
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยระหว่างแถลงความร่วมมือแสดงเจตนารมณ์การส่งเสริมการบริหารจัดการโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน (Sustainable supply chain) ด้วยการเลือกใช้ผู้ประกอบการจัดการของเสียที่ได้รับการรับรองมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศสำหรับผู้ประกอบการจัดการของเสีย (Eco Factory for Waste Processor) ว่า กนอ. และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมพัฒนามาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) ตั้งแต่ปี 2560 และในปี 2565 ได้พัฒนามาตรฐาน Eco Factory For Waste Processor โดย กนอ. ร่วมประกาศเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการจัดการของเสีย (Waste Processor) ในนิคมอุตสาหกรรมได้รับการรับรองมาตรฐาน Eco Factory For Waste Processor เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2565 โดยเพื่อขยายผลความร่วมมือดังกล่าว กนอ. จึงร่วมแสดงเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมเลือกใช้ผู้ประกอบการจัดการของเสียที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Eco Factory for Waste Processor อย่างน้อยระดับพื้นฐาน (Beginner) และส่งเสริมให้ผู้ก่อกำเนิดของเสีย (Waste Generator) เลือกใช้ผู้ประกอบการจัดการของเสียที่ได้รับรอง Eco Factory for Waste Processor ด้วย เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการโซ่อุปทานในภาคอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน สร้างความเชื่อมั่นในการส่งของเสียไปกำจัดอย่างถูกต้องตามหลักการจนจบสิ้นกระบวนการโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหากับชุมชนและสิ่งแวดล้อมตามมาภายหลัง
อย่างไรก็ตาม ทั้งนี้ เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการดำเนินงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และขอรับรองมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศเพิ่มมากขึ้น กนอ. ได้ประกาศสิทธิประโยชน์/มาตรการจูงใจต่อการเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศสำหรับผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม และผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม โดยผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) หรืออุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ระดับ 3 ขึ้นไป/หรือธงขาวดาวทองจะได้รับการลดหย่อนหรือยกเว้นค่าบริการคำขอด้านการใช้ที่ดินและประกอบกิจการและด้านสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ภาษีมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 - 30 กันยายน 2567 โดยสามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ผ่านระบบอนุมัติอนุญาตอิเล็กทรอนิกส์ (e-Per mission Privilege : e-PP) ของกนอ.
นายทศพล ทังสุบุตร
อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
2. ฟุ้ง 5 เดือน ต่างชาติลงทุนพรึ่บ! (ที่มา: ไทยโพสต์, ประจำวันที่ 21 มิถุนายน 2566)
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เปิดเผยว่า ในช่วง 5 เดือนของปี 2566 (มกราคม - พฤษภาคม) ได้มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจในไทย ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 รวม 274 ราย เพิ่มขึ้น 16% เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 87 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 187 ราย เงินลงทุนทั้งสิ้น 45,392 ล้านบาท ลดลง 18% จ้างงานคนไทยรวม 2,999 คน ลดลง 23%โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น 63 ราย คิดเป็น 23% เงินลงทุน 15,873 ล้านบาท, สหรัฐ 48 ราย คิดเป็น 18% เงินลงทุน 2,456 ล้านบาท, สิงคโปร์ 46 ราย คิดเป็น 17% เงินลงทุน 6,356 ล้านบาท, จีน 19 ราย คิดเป็น 7% เงินลงทุน 11,479 ล้านบาท และฮ่องกง 12 ราย คิดเป็น 4% เงินลงทุน 2,991 ล้านบาท ทั้งนี้ ในการเข้ามาลงทุนได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการควบคุมแรงดันหลุมขุดเจาะปิโตรเลียม องค์ความรู้เกี่ยวกับการออกแบบระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในโครงการรถไฟฟ้า องค์ความรู้เกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม องค์ความรู้เกี่ยวกับวิธีการแก้ไขปัญหาในการใช้งานยางล้ออากาศยาน และองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการแก้ ไขปัญหาเครื่องอัดอากาศ เป็นต้น สำหรับธุรกิจที่ได้รับอนุญาตในช่วง 5 เดือน ของปี 2566 ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ นโยบายการส่งเสริมการลงทุนเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เช่น บริการขุดเจาะหลุมปิโตรเลียมภายในบริเวณพื้นที่แปลงสำรวจที่ได้รับสัมปทานในอ่าวไทย ทดลองระบบ เชื่อมระบบ และการเปิดใช้งาน ตลอดจนการบริหารจัดการสำหรับโครงการรถไฟฟ้า บริการกิจการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce)
อย่างไรก็ตาม ส่วนการลงทุนในพื้นที่อีอีซีของนักลงทุนต่างชาติ ช่วง 5 เดือนของปี 2566 มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุน 48 ราย คิดเป็น 18% ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมด มูลค่าการลงทุน 9,442 ล้านบาท คิดเป็น 21% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น 19 ราย ลงทุน 3,264 ล้านบาท, จีน 9 ราย ลงทุน 752 ล้านบาท, ฮ่องกง 3 ราย ลงทุน 2,920 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 17 ราย ลงทุน 2,506 ล้านบาท โดยธุรกิจที่ลงทุน เช่น 1. บริการให้คำปรึกษาแนะนำด้านการบริหารจัดการกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ 2. บริการทางวิศวกรรม และเทคนิค เช่น การออกแบบเครื่องจักร เครื่องกล เครื่องมือ และอุปกรณ์ 3. บริการรับจ้างผลิต เครื่องจักรและชิ้นส่วนของเครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรม 4. บริการรับจ้างผลิตชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ และ 5. การค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ และชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์
นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
3. พิษเอลนีโญข้าวไทยราคาพุ่ง (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 21 มิถุนายน 2566)
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า การส่งออกข้าวไทยปี 2566 คาดว่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา โดยช่วง 6 เดือนแรก (มกราคม - มิถุนายน) ไทยส่งออกข้าวได้แล้ว 4 ล้านตัน มากกว่าปีก่อนที่ส่งออกได้ 3.51 ล้านตัน และทั้งปี 2566 น่าจะได้เกิน 8 ล้านตัน เนื่องจากขณะนี้ ทั่วโลกกำลังกังวลกับปัญหาภัยแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญ จึงมีการเร่งนำเข้าข้าวจำนวนมากเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร อีกทั้งช่วงครึ่งปีหลังคาดว่า เวียดนามจะมีข้าวเหลือส่งออกไม่มากนัก หลังจากมีการเร่งส่งออกไปมากช่วงครึ่งปีแรก ทำให้เป็นโอกาสการส่งออกของข้าวไทย โดยใน ครึ่งหลังปีนี้ เป็นโอกาสของข้าวไทยแน่นอน เพราะเวียดนาม เหลือข้าวส่งออกไม่มาก และหากเอลนีโญ รุนแรงมาก จนกระทบต่อผลผลิตข้าวของจีน และอินเดีย ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่า และราคาข้าวไทยยังไม่แพง ก็จะทำให้ข้าวไทยส่งออกได้อีก และช่วยผลักดันให้ราคาข้าวไทยสูงขึ้นได้อีก จากปัจจุบัน ข้าวขาว 5% ไทยอยู่ที่ตันละ 500 ดอลลาร์สหรัฐ ถูกกว่าเวียดนาม 510 ดอลลาร์ และแพงกว่าอินเดีย 480 ดอลลาร์ และแม้เอลนีโญ จะกระทบต่อผลผลิตข้าวไทย แต่เชื่อว่า ไทยจะมีข้าวเหลือส่งออกแน่นอน
อย่างไรก็ตาม สมาคมได้ร่วมกับกรมการค้าต่างประเทศ เดินทางไปพบปะเจรจากับผู้นำเข้าข้าวรายสำคัญ เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดไทย ทั้งฮ่องกง จีน และฟิลิปปินส์ สำหรับการเจรจาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับจีน ที่ทำสัญญาซื้อไทย 1 ล้าน และยังเหลือที่จะต้องซื้ออีก 280,000 ตัน ซึ่งจากการหารือกับคอฟโก ล่าสุด รัฐวิสาหกิจของจีนที่นำเข้าข้าว ได้รับการยืนยันจะซื้อจากไทยให้ครบตามสัญญา
ข่าวต่างประเทศ
4. แบงก์ชาติเกาหลีใต้เผย ดัชนี PPI เดือนพ.ค.ชะลอตัวสุดในรอบเกือบ 2 ปีครึ่ง (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 21 มิถุนายน 2566)
ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพฤษภาคม 2566 เพิ่มขึ้นในอัตราชะลอตัวที่สุดในรอบเกือบ 2 ปีครึ่ง โดยมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลง โดยรายงานระบุว่า ดัชนี PPI ของเกาหลีใต้เดือนพฤษภาคม 2566 เพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเทียบรายปี ลดลงจากระดับ 1.6% ในเดือนเมษายน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราชะลอตัว 11 เดือนติดต่อกัน และชะลอตัวที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ BOK แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า ในเดือนมิถุนายน 2566 มีทั้งปัจจัยที่ทำให้ราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นและลดลง จึงไม่ชัดเจนว่าดัชนีจะมีทิศทางเป็นอย่างไรในเดือนหน้า
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI ของเกาหลีใต้เดือนพฤษภาคม 2566 ปรับตัวลง 0.3% หลังจากที่ลดลง 0.1% ในเดือนเมษายน เนื่องจากราคาถ่านหินและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับตัวลง
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)