ข่าวในประเทศ
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
1. การค้าชายแดนม.ค.ผงกหัว ได้ดุลการค้า 1.7 หมื่นล้านบ. (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 7 มีนาคม 2567)
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ตัวเลขการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน เดือน มกราคม 2567 มีมูลค่าการค้า 141,164 ล้านบาท ขยายตัว 2.5% โดยเป็นไทยส่งออก 75,046 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.8% และไทยนำเข้า 66,119 ล้านบาท ลดลง 0.02% ได้ดุลการค้า 8,927 ล้านบาท โดยเมื่อแยกเป็นการค้าชายแดนกับเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ พบว่า การค้ารวม 82,278 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.94% เป็นไทยส่งออก 50,088 ล้านบาท และไทยนำเข้า 32,190 ล้านบาท ได้ดุลการค้า 17,898 ล้านบาท ทั้งนี้ การค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยเริ่มต้นปี 2567 ที่ขยายตัว 2.5% ถือเป็นสัญญาณที่ดี โดยเป็นการขยายตัวทั้งการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน และการค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม โดยเฉพาะการส่งออกชายแดนไปลาว ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน มูลค่า 14,890 ล้านบาท ขณะที่การส่งออกผ่านแดนขยายตัว 5.5% หลังจากนี้ จะเดินหน้าส่งเสริม และผลักดันการค้าชายแดนและผ่านแดนอย่างต่อเนื่อง เช่น จัดมหกรรมการค้าชายแดนเพื่อกระตุ้นการซื้อขายสินค้าไทยจะติดตามการดำเนินการศูนย์บริการส่งออกแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว ตามจังหวัดชายแดน เช่น นครพนม มุกดาหาร เพื่ออำนวยความสะดวกการค้า
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศที่มีมูลค่าการชายแดนสูงสุด คือ ลาว 25,959 ล้านบาท เพิ่ม 16.32% รองลงมา คือ มาเลเซีย 23,989 ล้านบาท เพิ่ม 0.02%, เมียนมา 17,121 ล้านบาท ลด 13.05% และกัมพูชา 15,210 ล้านบาท ลด 2% ซึ่งสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ น้ำตาลทรายขาว ส่วนการค้าผ่านแดนไปประเทศที่ 3 เช่น จีนตอนใต้ สิงคโปร์ เวียดนาม ฯลฯ มีมูลค่าการค้ารวม 58,886 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.7%
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล
ประธานสภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
2. กกร.ห่วงศก.อ่อนแอส่งออกฟื้นตัวต่ำฉุดภาคการผลิต (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 7 มีนาคม 2567)
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า กกร.ยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยปีนี้ที่ 2.8-3.3% การส่งออกขยายตัว 2-3% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.7-1.2% แต่ยังเป็นห่วงว่าเศรษฐกิจไทยยังอ่อนแอจากหลายปัจจัย โดยการส่งออกยังฟื้นตัวได้ช้า การท่องเที่ยวยังไม่กลับเข้าสู่ระดับเดิม และกำลังซื้อภายในประเทศถูกกดดันจากปัญหาหนี้ครัวเรือน แม้ภาคการส่งออกมี แนวโน้มกลับมาขยายตัวได้แต่คาดว่าทั้งปีมูลค่าการส่งออก จะเติบโตได้ในระดับต่ำ รวมทั้งความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกประเทศยังมีสูง ขณะที่อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ในระดับต่ำ สำหรับการท่องเที่ยวยังฟื้นตัวได้แต่จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีน ยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิดถึง 50% เนื่องจากชาวจีนหันไปท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก โดยคาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศประมาณ 34-35 ล้านคน นอกจากนี้ปัญหาหนี้และกำลังซื้อภายในประเทศที่มีแนวโน้มอ่อนแอจะเป็นปัจจัยกดดันการบริโภคของครัวเรือนต่อไป ส่วนการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐมีแนวโน้มปรับดีขึ้นในไตรมาสที่ 2 จากปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ปรับเร็วขึ้น เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ตั้งแต่ต้นไตรมาสที่ 2 ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในการประคองเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนได้อย่างต่อเนื่อง และจะหนุนการลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในระยะข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม สำหรับเศรษฐกิจโลกปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตได้แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงอยู่มาก กิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศหลักเดือนกุมภาพันธ์มีแนวโน้มเติบโตจากภาคบริการเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม เครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ด้านแรงงานเริ่มมีแนวโน้มแผ่วลง ส่วนจีนนั้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังมีจำกัด สำหรับปัญหาวิกฤตในทะเลแดงส่งผลให้ค่าระวางเรือยังอยู่ในระดับสูง ปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของภาคการส่งออกสินค้าไทย สำหรับมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ที่จะสิ้นสุดใน วันที่ 19 มีนาคม 2567 นี้ มองว่า หากมีความเป็นไปได้อยากให้รัฐบาลต่อมาตรการดังกล่าวออกไป แต่ทั้งนี้ คงต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของภาครัฐ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวยอมรับเป็นการสร้างภาระ และส่งผลต่อกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย ดังนั้นต้องให้ภาครัฐพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรในเรื่องการจัดสรรงบประมาณ การจัดสรรเงิน
นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา
นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลกประจำประเทศไทย
3. เวิลด์แบงก์ชี้ศก.ไทยยังอ่อนแรง (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 7 มีนาคม 2567)
นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลกประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามการคาดการณ์ของธนาคารโลก การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยยังคงตามหลังประเทศอื่นๆ ตัวเลขจีดีพีรายไตรมาสของไทยยังคงอ่อนแรงอยู่ เนื่องจากการค้าโลกชะลอตัวลง รวมถึงมีปัจจัยท้าทายภายในประเทศ เช่น ความล่าช้าของเรื่องงบประมาณรายจ่าย เพราะฉะนั้นประเทศไทยถือว่าได้รับผลกระทบมากที่สุดในบรรดาประเทศสมาชิกอาเซียนในช่วงไตรมาสที่แล้ว คาดว่าประเทศไทยจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะกลางอยู่ที่ราว 3% ซึ่งยังไม่อยู่ในระดับเดียวกับประเทศที่จะเติบโตเป็นประเทศที่มีรายได้สูง ที่จะต้องมีอัตราการเติบโตราว 5% รัฐบาลไทยควรจะปฏิรูปในเรื่องนวัตกรรม การบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมการเติบโตของเมืองและภูมิภาค รวมถึงลงทุนในเรื่องทุนมนุษย์ ไม่เพียงแต่ไทยจะสามารถบรรลุในเรื่องนั้นได้จากการระดมทรัพยากรมากขึ้น แต่ยังผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย ประเทศไทยยังคงมีขีดความสามารถที่จะใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มี เช่น โครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่จะทำการปฏิรูปเหล่านี้เช่นกัน ไทยยังคงมีพื้นที่ทางการคลังที่จะลงทุนในเศรษฐกิจ ในทุนมนุษย์ ในโครงสร้างพื้นฐาน และปฏิรูปเศรษฐกิจให้ลดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ และการลงทุนไม่ใช่แค่เม็ดเงินเพิ่มขึ้น แต่เพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนอีกด้วย โดยธนาคารโลกประจำประเทศไทยอาจปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้และปีหน้าลงอีก เพราะอุปสรรคต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไป อาทิ การชะลอตัวของการค้าโลก งบประมาณรายจ่ายที่ล่าช้า ซึ่งจะลามไปจนถึงปีงบประมาณหน้า และจะส่งผลกระทบต่อโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะต่างๆ โดยเฉพาะโครงการที่ยังไม่ได้เริ่มต้น โดยธนาคารโลกคาดว่าจะเผยแพร่รายงานการคาดการณ์ดังกล่าวในช่วงเดือนเมษายนนี้
อย่างไรก็ตาม สำหรับเศรษฐกิจไทยควรที่จะเฝ้าระวังเรื่องงบประมาณล่าช้า การขับเคลื่อนโครงการพื้นฐานที่อาจล่าช้าไปมากกว่านี้ ภาวะเงินเฟ้อก็มองว่ามีความเสี่ยงเพราะเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ที่อาจทำให้ราคาพลังงานและอาหารเพิ่มขึ้นไปอีก ก็จะกระทบกับประเทศไทยด้วย ส่วนความกังวลว่าเหตุการณ์ที่กลุ่มกบฏฮูตีโจมตีเรือบรรทุกสินค้าในทะเลแดงนั้นไม่ทราบว่าไทยจะได้รับผลกระทบหรือไม่ แต่ก็มีความเป็นไปได้เพราะทุกอย่างมีความเชื่อมโยงกันผ่านระบบห่วงโซ่อุปทานของโลก และมีโอกาสที่จะทำให้ภาวะเงินเฟ้อของโลกสูงขึ้นไปอีก มองว่าเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวดีกว่าที่คาด แต่เติบโตในระดับที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับก่อนช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19
ข่าวต่างประเทศ
4. เฟดจับสัญญาณคุมเงินเฟ้อก่อนตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ (ที่มา: ไทยรัฐ, ประจำวันที่ 7 มีนาคม 2567)
นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด เปิดเผยว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2567 นี้ แต่ต้องการจะเห็นสัญญาณบ่งชี้มากขึ้นกว่านี้ว่าทิศทางเงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับลดลงอย่างยั่งยืนในกรอบเป้าหมายที่ 2% ของเฟด หลังจากภาวะเงินเฟ้อสหรัฐฯ ชะลอตัวลงทั้งสินค้าและบริการ โดยเฟดกำลังเผชิญกับความเสี่ยง 2 อย่าง คือ การปรับลดดอกเบี้ยเร็วเกินไป ซึ่งอาจทำให้ความก้าวหน้าในการสกัดเงินเฟ้อเลวร้ายลง หรือเลือกที่จะปรับลดดอกเบี้ย ช้าเกินไปหรือน้อยเกินไป ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอและกระทบต่อการจ้างงานในสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ปัจจุบันอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 23 ปี ที่ 5.4% และคาดการณ์ว่าการปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกจะเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน 2567 นี้ โดยบรรดานักลงทุนคาดว่า โอกาสที่เฟดจะหั่นดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนนี้อยู่ที่ 69% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ที่ 64% เมื่อสัปดาห์ก่อน ขณะที่ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟดเมื่อเดือนธันวาคมปีก่อน คาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยทั้งหมด 3 ครั้ง ในปีนี้
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)