ข่าวประจำวันที่ 25 มีนาคม 2567

ข่าวในประเทศ

A person in a suit sitting in a chair

Description automatically generated

นายภูมิธรรม เวชยชัย

รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

 

1. พาณิชย์เร่งขจัดอุปสรรคดันจันทบุรีเป็นศูนย์กลางอัญมณีโลก (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 25 มีนาคม 2567)

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มีโอกาสหารือกับหน่วยงานราชการ และผู้ค้าอัญมณีจังหวัดจันทบุรี เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสูง สร้างรายได้ให้ประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยได้เยี่ยมชมห้อง Lab และห้องเจียระไนอัญมณี พร้อมรับฟังบรรยายสรุปของศูนย์ส่งเสริมอัญมณีและเครื่องประดับจันทบุรีด้วย สำหรับจังหวัดจันทบุรีนับว่ามีครบถ้วนทุกอย่างทั้งสถานที่ท่องเที่ยว ทะเล น้ำตก ของกิน และสินค้าที่สร้างรายได้ให้กับประเทศจำนวนมาก คือ อัญมณีและผลไม้ โดยเฉพาะทุเรียนและมังคุด ดังนั้น คิดว่าอนาคตของผลไม้ดีแน่นอน ส่วนอัญมณีจังหวัดจันทบุรี มีความพร้อมและศูนย์ส่งเสริมอัญมณีและเครื่องประดับจันทบุรีสร้างมาตั้งแต่ปี 2548 เกือบ 20 ปี มาแล้ว เพื่อค้าขายอัญมณีซึ่งมีความเป็นมืออาชีพเป็นศูนย์กลางค้าขายพลอย มีการตรวจสอบรับรองคุณภาพ และมีช่างฝีมือของไทยที่ดังมากใน ระดับโลก ซึ่งได้รับรู้ปัญหาและเห็นว่าผู้ค้ากลุ่มนี้เป็นทัพหน้าทำหน้าที่หาเงินเข้าประเทศ รัฐบาลต้องช่วยกันการดูแลลดข้อจำกัด ผลักดันให้เป็นศูนย์กลาง อยากเห็นจังหวัดจันทบุรีเป็นศูนย์กลางอัญมณีและศูนย์กลางการค้าผลไม้ของไทย ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะส่งเสริมทุกด้านอย่างเต็มที่โดยจะเข้าไปดูในเรื่องอัตราภาษีอากรให้มีความเหมาะสม โดยเฉพาะเรื่องการนำเข้าพลอยก้อน โดยจะช่วยดูการตั้ง bonded warehouse เพื่อไม่ต้องจ่าย VAT ก่อนตอนนำเข้า เพื่อลดปัญหาคนต่างชาติ ขนพลอยดิบเข้ามาขาย ต้องเสีย VAT หากขายไม่ได้ก็จะเสียโอกาส เลยไม่กล้าขนพลอยมาไว้ที่จันทบุรี หากมีคลังสินค้าทัณฑ์บนที่จันทบุรีจะช่วยให้มีปริมาณพลอยจากเหมืองต่างๆ ไหลมาที่ไทย

 

อย่างไรก็ตาม ดังนั้น จึงต้องพิจารณาเรื่องนี้ให้รอบด้านก่อนเพื่อให้ที่จันทบุรีเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง และเชื่อว่าจังหวัดจันทบุรี ตอบโจทย์สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศ ซึ่งอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย สร้างรายได้เข้าประเทศกว่าปีละ 500,000 ล้านบาท โดยมีโอกาสเพิ่มขึ้นได้ทุกปี ซึ่งภาครัฐจะช่วยในการประชาสัมพันธ์ จัดโครงข่ายและลดข้อจำกัดทางกฎหมาย ให้เป็นกองหน้าหารายได้เข้าประเทศได้ต่อไป

 

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์

โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

 

2. ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าคึกคักยอดขายทะลุพรวด (ที่มา: ไทยรัฐ, ประจำวันที่ 25 มีนาคม 2567)

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ในประเทศไทยรถยนต์ไฟฟ้าประเภทใช้แบตเตอรี่ได้เติบโตมากช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยปี 2565 รถยนต์นั่งไม่เกินเจ็ดคน จดทะเบียน 9,583 คัน เติบโตร้อยละ 393.5 จากปี 2564 ที่จดทะเบียน 1,942 คัน เพราะปี 2565 เป็นปีแรกที่มีการให้เงินอุดหนุนผู้ซื้อรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ที่มีราคาไม่เกินสองล้านบาทเป็นเงิน 150,000 บาทและลดภาษีสรรพสามิตลงจากร้อยละแปดเป็นร้อยละสองราคารถยนต์ไฟฟ้าจึงลดราคาลงต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท พอๆ กับราคารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ประกอบกับราคาน้ำมันสูงขึ้นรถยนต์ไฟฟ้าจึงขายได้รวมหนึ่งหมื่นคัน และยิ่งเติบโตมากขึ้นในปี 2566 ซึ่งจากการมีรถยนต์ไฟฟ้าระดับขายดีติดอันดับต้นๆ ของโลกเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ในราคาที่คนไทยจับต้องได้ รวมทั้งมีรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกกว่ารถยนต์สันดาปภายในมาขายด้วย จึงมีรถยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนถึง 75,690 คัน เติบโตร้อยละ 689.84 ทำให้ประเทศไทยมีรถยนต์นั่งไฟฟ้าเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ถึง 88,870 คัน น่าจะสูงสุดในอาเซียน แล้วยังมีจักรยานยนต์ไฟฟ้า 38,211 คัน รถโดยสารไฟฟ้า 2,419 คัน รถบรรทุกไฟฟ้า 303 คัน แสดงถึงการตื่นตัวของคนไทยทุกคนทั้งภาครัฐบาลและประชาชนร่วมมือกันลดโลกร้อนเพื่อบรรลุผลคาร์บอนเป็นกลางให้ได้ในประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 ได้ประมาณการตัวเลขจดทะเบียนของรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่ 100,000 คัน เติบโตประมาณร้อยละ 30 โดยมีปัจจัยจาก 1.) รถยนต์นั่งไฟฟ้าที่จะเริ่มผลิตในประเทศไทยแล้ว ซึ่งจะทำให้ผู้ซื้อรถยนต์นั่งไฟฟ้ายังได้เงินอุดหนุน 150,000 บาท 2.) คาดว่าจะมีรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกจากต่างประเทศ หรือผลิตในประเทศมาขายและ 3.) ราคาน้ำมันยังมีราคาสูง โดย 2 เดือนแรกของปีนี้มีรถยนต์นั่งไฟฟ้าจดทะเบียน 16,843 คัน เติบโตร้อยละ 102.17 เพราะเดือนมกราคมมีตัวเลขจดทะเบียนถึง 13,314 คัน จากมาตรการเงินอุดหนุน 150,000 บาท ในโครงการอีวี 3.0 ต้องซื้อภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 และจดทะเบียนเสร็จภายในวันที่ 31 มกราคม 2567 ทั้งนี้ ในครึ่งปีหลังจะมีเม็ดเงินจากการใช้จ่ายและการลงทุนของรัฐบาลตามงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 และ 2568 เข้ามาเสริม                 เพิ่มจากการใช้จ่ายและการลงทุนของเอกชนรวมทั้งการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมีถึงกว่า 32 ล้านคน

 

A logo of a company

Description automatically generated

กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

 

3. ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยปรับตัวรับมือ EV ผนึกเครือค่ายรถ-รัฐยกระดับเทคฯ (ที่มา: ผู้จัดการรายวัน 360 องศา, ประจำวันที่ 25 มีนาคม 2567)

กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท. ได้จัดตั้ง Cluster of FTI Future Mobility-ONE หรือ CFM-ONE เพื่อขับเคลื่อนการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ควบคู่กับภาครัฐ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย ONE FTI ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อช่วยผู้ประกอบการไทยในการปรับตัวไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพราะหลายบริษัทไม่มีเทคโนโลยี EV เป็นของตัวเอง โดยมีการทำงานร่วมกับเครือข่ายที่มีกลุ่มนักลงทุนจีน คือ ค่ายรถยนต์ยี่ห้อต่างๆ เข้ามาร่วมด้วย รวมถึงค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกา ทั้งเรื่องการพัฒนาความรู้ให้นิสิต นักศึกษา ผู้ประกอบการไทยในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ทั้งบริษัทผลิตชิ้นส่วนของยานยนต์ (tier-1) บริษัทที่ประกอบชิ้นส่วนยานยนต์จากวัตถุดิบ (tier-2) และบริษัทที่ผลิตวัตถุดิบ อาทิ ปิโตรเคมี พลาสติก เหล็ก และยาง เพื่อประกอบเป็นชิ้นส่วนของยานยนต์ (tier-3) และก็ยังมีหน่วยงานรัฐเข้าร่วมเช่นกัน ซึ่งเรามีโครงการต่างๆ มากมายที่จะต้องทำเพื่อยกระดับ เพื่อพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ปัจจุบันไทย มีกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนประมาณ 1,700 บริษัท ซึ่งเป็นสัญชาติไทยแท้ๆ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับ Tier 2-3 มากกว่า ทั้งนี้ ในอนาคตกลุ่มนักลงทุนจีน ก็จะต้องมีการบริหารจัดการทุกอย่าง เช่นเดียวกับกลุ่มนักลงทุนชาติอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป หรือ สหรัฐฯ แต่ตอนนี้ไทยเพิ่งเริ่มต้นการลงทุนของเทคโนโลยีใหม่และ EV มันเป็นสิ่งใหม่ที่เข้ามาในไทย จึงต้องมีการนำเข้ามาทั้งคัน หรือชิ้นส่วนสำคัญของ EV

อย่างไรก็ตาม ทางด้านนางสาวอนุษฐา เชาว์วิศิษฐ เลขาธิการสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มผู้ประกอบการชิ้นส่วนไทยที่ส่วนใหญ่เป็นผู้จัดหาและบริการหรือ suppliers ให้กับรถยนต์สันดาปภายในก็เร่งปรับตัว ยกตัวอย่างเช่น การพัฒนาธุรกิจให้รองรับ รถยนต์ BEV คือรถยนต์ที่มีแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นชิ้นส่วนหลัก ไม่มีเครื่องยนต์สันดาปหรือการเติมเชื้อเพลิงเพื่อไปช่วยในการสร้างไฟฟ้า รถยนต์ Hybrid ที่สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ (PHEV) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงกว่า ICE รวมถึงการเข้าช่วยเหลือเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการยกระดับศักยภาพร่วมกับภาคเอกชน

 

ข่าวต่างประเทศ

A flag and money in front of a skyscraper

Description automatically generated

 

4. ออสเตรเลียจ่อหนุนขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้สอดคล้องเงินเฟ้อ  (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 25 มีนาคม 2567)

รัฐบาลออสเตรเลียเตรียมหนุนแผนปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ โดยมีเป้าหมายในการช่วยเหลือครอบครัวผู้มีรายได้น้อยที่ยังต้องดิ้นรนกับค่าครองชีพ แต่จะปรับขึ้นในอัตราที่น้อยลงกว่าการขึ้นค่าแรงครั้งก่อน เนื่องจากเงินเฟ้อชะลอตัวลงแล้ว สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานในวันนี้ (25 มี.ค.) ว่า ในเอกสารที่ยื่นต่อคณะกรรมาธิการจ้างงานที่เป็นธรรม (FWC) เพื่อทบทวนค่าจ้างประจำปี 2566-67 ซึ่งจะเปิดเผยในวันพฤหัสบดีนี้ (28 มี.ค.) รัฐบาลพรรคแรงงานจะเสนอให้มีการปรับขึ้นค่าแรง เพื่อให้แน่ใจว่าค่าแรงที่แท้จริงของแรงงานรายได้น้อยจะไม่หดหาย ซึ่งเป็นจุดยืนที่รัฐบาลยึดถือมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา นายจิม ชาลเมอร์ส รัฐมนตรีคลังออสเตรเลีย ให้สัมภาษณ์ทางทีวีในวันนี้ว่า “มีความคาดหวังว่าจะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ขณะที่เราพยายามสร้างความมั่นใจว่าประชาชนที่ได้ค่าจ้างต่ำที่สุดในระบบเศรษฐกิจและประเทศของเราจะไม่แย่ลง”

ทั้งนี้ เมื่อเดือน ก.ค.ปีที่แล้ว คณะกรรมาธิการจ้างงานที่เป็นธรรมได้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 5.75% เนื่องจากค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้น โดยบางฝ่ายกังวลว่าการดำเนินการดังกล่าวจะยิ่งทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีสัญญาณว่าจะเกิดวงจรค่าจ้าง-เงินเฟ้อแบบงูกินหาง (wage-price spiral) และอัตราเงินเฟ้อออสเตรเลียก็ชะลอตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ที่ระดับ 3.4% จากจุดสูงสุดที่ 8.4% ด้านธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) คาดการณ์ว่า เงินเฟ้อจะลดลงสู่ระดับ 3.3% ภายในเดือนมิ.ย. 2567 นอกจากนี้ รัฐบาลพรรคแรงงานยังให้คำมั่นว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือด้านค่าครองชีพเพิ่มเติมในการจัดสรรงบประมาณที่จะมีขึ้นในเดือนพ.ค.นี้อีกด้วย โดยจะมีการลดภาษีให้แก่ผู้เสียภาษีทุกคนตั้งแต่เดือนก.ค.เป็นต้นไป

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)