ข่าวในประเทศ
นายภาสกร ชัยรัตน์
อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.)
1. ลุยญี่ปุ่นลงทุน-แลกเทคฯ ดันเศรษฐกิจโต 3 พันล้านบ. (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 5 มิถุนายน 2567)
นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เปิดเผยว่า ได้เดินทางไปเปิดงานเชื่อมโยงธุรกิจโอตาไก ฟอรัม อิน ซาเซโบะ ที่เมืองซาเซโบะ จังหวัด นางาซากิ เพื่อสานต่อความสำเร็จของแนวคิดการดำเนินงานร่วมกันระหว่างประเทศไทยและญี่ปุ่น มีผู้ประกอบการญี่ปุ่นและไทยเข้าร่วมกว่า 100 ราย หลายสาขาอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมการต่อเรือ ผลิตภัณฑ์จากเหล็ก เทคโนโลยีการจัดการ และบำบัดน้ำเสีย ดิจิทัลแพลตฟอร์ม อาหารและสินค้าเกษตรแปรรูป ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการนำเสนอสินค้าและบริการของตนเอง เพื่อสร้างโอกาสในการเชื่อมโยงและขยายช่องทางการค้าขายระหว่างกัน ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้มีขีดความสามารถประกอบธุรกิจที่เป็นเลิศ ทั้งนี้ คาดว่า จะเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการและการเจรจาธุรกิจระหว่างสองประเทศ และเกิดการสร้างมูลค่าเศรษฐกิจได้กว่า 3,000 ล้านบาท ส่งผลให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมระหว่างสองประเทศในอนาคตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน และดีพร้อม ได้สานสัมพันธ์กับหน่วยงานต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 2552 ทั้งในระดับรัฐบาลกลาง 6 แห่ง รัฐบาลท้องถิ่น 23 แห่ง และภาคเอกชน 3 แห่ง รวม 31 แห่ง ผ่านความร่วมมือรูปแบบต่างๆ
อย่างไรก็ตาม สำหรับคำว่าโอตาไก ความหมายว่า การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีจุดกำเนิดตั้งแต่ปี 2554 ที่ทั้งสองประเทศต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ ทำให้ห่วงโซ่อุปทานและภาคการผลิตหยุดชะงัก ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่มาถึงเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงได้พูดคุยกับหน่วยงานพันธมิตรในประเทศญี่ปุ่น เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว
นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์
อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา
2. ผลักดันแต้มต่อธุรกิจ (ที่มา: สยามรัฐ, ประจำวันที่ 5 มิถุนายน 2567)
นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า กรมฯ เล็งเห็นความสำคัญของการนำทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์หลังจากได้รับจดทะเบียนแล้ว โดยสำรวจข้อมูลของคำขอที่ได้รับการจดทะเบียนแล้ว เพื่อประเมินผลการดำเนินงานของโครงการเร่งรัดสิทธิบัตรมุ่งเป้า และวางแผนการพัฒนาศักยภาพด้านทรัพย์สินทางปัญญาต่อไป โดยผู้ขอรับสิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตรกว่าร้อยละ 58 อยู่ระหว่างการจัดทำสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิหรือโอนสิทธิ และหลังจากที่ได้รับจดทะเบียน สิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตรกว่าร้อยละ 55 ได้จัดทำสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ และอยู่ระหว่างดำเนินการผลิตผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีตามสิทธิบัตร/ อนุสิทธิบัตร รวมถึงมีการนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ในช่องทางต่างๆเช่น จำหน่ายผ่านสื่อออนไลน์ ตัวแทนจำหน่าย ร้านค้าปลีก/ค้าส่ง ตลอดจนการทดลองใช้จริงในต่างประเทศที่ยื่นคำขอรับสิทธิบัตร ได้แก่ ลาว อินโดนีเซีย มาเลเซีย กัมพูชา และสิงคโปร์ ซึ่งผลประกอบการที่ได้จากการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ในการอนุญาตให้ใช้สิทธิ การโอนสิทธิ การจำหน่าย และใช้ประโยชน์โดยไม่ได้แสวงหากำไร มีมูลค่ารวมทั้งสิ้นมากกว่า 179 ล้านบาท ต่อปี โดยโครงการเร่งรัดสิทธิบัตรมุ่งเป้าจึงเป็นช่องทางหนึ่งที่ตอบโจทย์ผู้ยื่นคำขอให้สามารถนำสิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตรมาใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มมูลค่าและยกระดับความน่าเชื่อถือให้ผลงาน เพื่อดึงดูดการลงทุนหรือการระดมทุนจัดตั้งบริษัท spin-off การเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับเอกชนที่นำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ผู้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมีความมั่นใจในการ up-scale การผลิต การต่อยอดผลงานและทำวิจัยร่วมกับภาคเอกชน การหาผู้ร่วมวิจัยหรือผู้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมทั้ง การขอขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์ การวางแผนการผลิตและการจำหน่าย โดยภาพรวมของการประเมินความพึงพอใจอยู่ในระดับ 5 (พึงพอใจมากที่สุด) คิดเป็นร้อยละ 79.1 และระดับ 4 (พึงพอใจมาก) คิดเป็นร้อยละ 20.9 ซึ่งสาขาที่ได้รับความสนใจมาก คือ เทคโนโลยีสีเขียว (Green Technology) เช่น เศรษฐกิจหมุนเวียน (ร้อยละ 41.9) และเชื้อเพลิงชีวภาพ/เคมีชีวภาพ (ร้อยละ 37.2)
อย่างไรก็ตาม หลังจากการดำเนินโครงการการเร่งรัดสิทธิบัตรมุ่งเป้าด้านนวัตกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุขมาระยะหนึ่ง กรมฯ เปิดรับคำขอสาขานวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต (Future Food) เพิ่มอีกสาขาหนึ่ง เมื่อ วันที่ 1 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งกรมฯ เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมด้านอาหารที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค ทำให้อาหารที่ดีต่อสุขภาพมีบทบาทสำคัญมากขึ้น เพื่อผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่มีอัตราการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)
3. พาณิชย์ชี้ธุรกิจ OTT มาแรง แนะผู้ค้าใช้เป็นช่องทางขยายตลาด (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 5 มิถุนายน 2567)
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลและโครงสร้างพื้นฐานทางอินเทอร์เน็ต ก่อให้เกิดธุรกิจบริการรูปแบบใหม่บริการหนึ่งที่น่าสนใจคือ Over-the-top (OTT) เป็นการให้บริการเนื้อหา หรือที่ในปัจจุบันนิยมเรียกว่าคอนเทนต์ อาทิ ภาพยนตร์ ซีรี่ส์ รายการโทรทัศน์ และรายการเสียง (podcast) ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ อาทิ YouTube, Netflix, Wetv, Viu, iflex, Spotify และ Line TV ทั้งนี้ หากเป็นบริการที่เผยแพร่ทั้งภาพและเสียงผ่านอินเตอร์เน็ต จะเรียกว่า OTT TV โดยข้อมูลจากรายงาน The Future of TV 2022 ที่จัดทำโดยบริษัทด้านการตลาด The Trade Desk ร่วมกับบริษัทที่ปรึกษา KANTAR ชี้ให้เห็นว่า คนไทยราว 26 ล้านคน รับชมรายการโทรทัศน์ผ่านแพลตฟอร์ม OTT และใช้เวลาไปกับแพลตฟอร์มดังกล่าวมากถึง 1.4 พันล้านชั่วโมงต่อเดือน ส่วนผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม OTT ในไทย มีรายได้จากค่าโฆษณาและหรือค่าบริการหรือค่าสมาชิกเพิ่มขึ้น ซึ่งเห็นได้จากจำนวนโฆษณาทาง OTT ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยบริษัทด้านวิจัยการตลาด Neilsen และสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทยระบุว่า ในปี 2565ค่าโฆษณาผ่านอินเตอร์เน็ต มีมูลค่า 25,729 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ถึง 3.89% และในปี 2566 เพิ่มขึ้น 12.71%เป็น 28,999 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลและการเติบโตของ OTT ส่งผลต่อไปยังทุกภาคส่วน ทั้งภาค อุตสาหกรรม บริการ และพฤติกรรมของผู้บริโภค อีกทั้งยังเป็นโอกาสให้ผู้ผลิตสื่อดิจิทัลคอนเทนต์ละคร ซีรี่ส์ ภาพยนตร์ และ Home entertainment ต่างๆ เผยแพร่หรือนำเสนอคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาหลากหลาย และมีช่องทางการนำเสนอคอนเทนต์เพิ่มมากขึ้น โดยภาครัฐและผู้ประกอบการ อาจพิจารณานำเสนอหรือโฆษณาสินค้า บริการ สถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงศิลปะและวัฒนธรรม โดยสอดแทรกในสื่อและคอนเทนต์ที่เผยแพร่ผ่าน OTT ซึ่งเป็นโอกาสทางการค้าและเป็นช่องทางที่สร้างการรับรู้สินค้าและบริการ เข้าถึงผู้บริโภคได้หลากหลายกลุ่มทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้สามารถเผยแพร่วัฒนธรรมของไทยควบคู่ไปพร้อมกับการนำเสนอสินค้าและบริการได้
ข่าวต่างประเทศ
4. GDP ออสเตรเลียขยายตัวต่ำกว่าคาดใน Q1 เหตุดอกเบี้ยสูงกระทบ การใช้จ่ายผู้บริโภค (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 5 มิถุนายน 2567)
สำนักงานสถิติแห่งชาติออสเตรเลีย เปิดเผยรายงานว่า เศรษฐกิจออสเตรเลียชะลอตัวลงในไตรมาส 1/2567 เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมและเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 1/2567 ของออสเตรเลียขยายตัวเพียง 0.1% เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ต่ำกว่าในไตรมาสก่อนหน้าซึ่งมีการขยายตัว 0.3% และต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่า GDP จะขยายตัว 0.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี GDP ในไตรมาส 1 ของออสเตรเลียขยายตัวเพียง 1.1% ชะลอตัวลงไตรมาสก่อนหน้าซึ่งมีการขยายตัว 1.5% และเป็นการขยายตัวที่ช้าที่สุดในรอบ 30 ปี หากไม่นับรวมช่วงเวลาที่ออสเตรเลียเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่วนการใช้จ่ายภาคครัวเรือนซึ่งคิดเป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของตัวเลข GDP ออสเตรเลียนั้น ปรับตัวขึ้นเพียง 1.3% และการลงทุนในภาคเอกชนปรับตัวลดลง 0.8%
อย่างไรก็ตาม ทางด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การชะลอตัวของ GDP ในไตรมาส 1 อาจเพิ่มแรงกดดันให้กับธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ในการเริ่มวงจรการผ่อนคลายนโยบายการเงิน หลังจากที่ RBA ได้ตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.35% ในการประชุม 4 ครั้งที่ผ่านมา
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)