ข่าวประจำวันที่ 5 กันยายน 2567

ข่าวในประเทศ

นายภูมิธรรม เวชยชัย  รองนายกรัฐมนตรี

 

1. เปิดยิ่งใหญ่! Halal Inspirium ดันฮาลาลไทยฮับอาเซียนปี70 ทะลุ 55,000 ล้านบาท (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, ประจำวันที่ 5 กันยายน 2567)

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี กล่าวในโอกาสประธานในพิธีเปิดงานส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลไทย Halal Inspirium : สร้างแรงบันดาลใจนําอัตลักษณ์ไทยสู่สากล ว่ารัฐบาลให้ความสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางฮาลาลของอาเซียน (ASEAN Halal Hub) ตามนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศไทย อย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม ทั้งแนวทางการจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบอุตสาหกรรมฮาลาลในรูปแบบ “ศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาล” (ระยะสั้น) ภายใต้ (ร่าง) แผนปฏิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลไทย ระยะ 5 ปี (2567-2571) และแนวทางการจัดตั้งคณะกรรมการอุตสาหกรรมฮาลาลแห่งชาติ (กอฮช.) ตลอดจนแผนขยายตลาดสินค้าฮาลาลไปยังตลาดที่มีกําลังซื้อสูง เช่น ประเทศซาอุดีอาระเบีย กลุ่มประเทศอาเซียน และประเทศ Non-Muslim อื่นๆ ทั่วโลก เป็นต้น ด้าน นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมผลักดันทุกสาขาอุตสาหกรรมฮาลาลไทยชิงตลาดฮาลาลโลก ที่มีมูลค่ามหาศาลกว่า 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 3.1 ล้านล้านดอลลาร์ ตั้งเป้าหมายชิงตำแหน่งศูนย์กลางฮาลาลแห่งอาเซียน ในปี 2570 

อย่างไรก็ตาม สำหรับการจัดงานครั้งนี้เป็นความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนชั้นนำด้านอุตสาหกรรมฮาลาลทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซาอุดีอาระเบีย บรูไน และมาเลเซีย รวมถึงสถาบันการเงินที่พร้อมสนับสนุนเงินทุน และสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย(CICOT) ที่จะช่วยรับรองมาตรฐานฮาลาลระดับสากล คาดว่าจะเกิดคู่การเจรจาทางธุรกิจประมาณ 150 คู่ มูลค่าการซื้อขายกว่า 100 ล้านบาท ทั้งนี้ จะเห็นว่าหลายประเทศมุสลิมมีความต้องการนำเข้าสินค้าฮาลาลจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่สามารถผลิตสินค้าให้เพียงพอกับความต้องการในประเทศ เป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการขยายตลาด ที่สำคัญผู้บริโภคที่ไม่ใช่มุสลิมก็เริ่มให้ความสนใจในผลิตภัณฑ์ฮาลาล ทำให้ตลาดนี้มีความน่าสนใจต่อผู้ผลิตสินค้าและบริการทั่วไปที่ต้องการขยายกลุ่มเป้าหมาย ทำให้การรับรองฮาลาลกลายเป็นเครื่องหมายของคุณภาพและความปลอดภัยให้สินค้าที่มีตราฮาลาลเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้หลากหลาย  นอกจากนี้ ด้านนางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า วันนี้เราไม่ได้แค่เปิดตัวศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาลไทย แต่เรากำลังเปิดประตูสู่โอกาสมหาศาลในตลาดฮาลาลโลก ศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาลไทยจะทำหน้าที่เป็นศูนย์บริการครบวงจร ตั้งแต่ให้คำปรึกษา หาตลาด จนถึงจับคู่ธุรกิจ โดยเน้นการยกระดับสินค้าฮาลาลไทยสู่ระดับพรีเมียม เราไม่ได้มองแค่ตลาดมุสลิม แต่เรากำลังมองถึงกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและความยั่งยืนทั่วโลก

 

A person sitting at a desk

Description automatically generated

นายเอกฉัตร ศีตวรรัตน์

รองปลัดกระทรวงพาณิชย์

 

2เปิดเวทีเจรจาธุรกิจ เงินสะพัด 4.5 พันล้าน (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 5 กันยายน 2567)

นายเอกฉัตร ศีตวรรัตน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายในงาน Bangkok RHVAC และงานแสดงสินค้า Bangkok E&E ว่ากระทรวงขับเคลื่อนกิจกรรมขยายตลาดสินค้าไทยสู่ตลาดต่างประเทศในรูปแบบต่างๆ ให้สอดคล้องกับกระแสโลก โดยอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เป็นอุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานภายในประเทศสูงถึง 660,000 ราย และยังเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจการค้าและการส่งออกของประเทศ โดยประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกเครื่องปรับอากาศอันดับที่ 2 ของโลก ขณะเดียวกันยังเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกเครื่องทำความเย็นอันดับที่ 6 ของโลก ทั้งนี้ ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการผลิตและส่งออกเครื่องปรับอากาศ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่อันดับ 2 ของโลก เช่นเดียวกับ อุตสาหกรรม เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ที่ไทยเป็นฐานการผลิตให้กับทั่วโลกเช่นกันในขณะที่รัฐบาลได้ทำหน้าที่ในการส่งเสริม ด้วยการขับเคลื่อนกิจกรรมขยายตลาดสินค้าสู่ตลาดต่างประเทศในรูปแบบต่างๆ ให้สอดคล้องกับกระแสโลกเพราะอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ เป็นอุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานภายในประเทศสูงถึง 660,000 คน และยังเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญยิ่ง ต่อเศรษฐกิจการค้าและการส่งออกของประเทศ สำหรับงานแสดงสินค้า Bangkok RHVAC 2024 และ Bangkok E&E 2024 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-7 กันยายน 2567 จะเป็นเวทีแสดงศักยภาพและเจรจาธุรกิจระหว่าง ผู้ประกอบการไทยกับผู้ซื้อ ผู้นำเข้าจากทั่วโลก และยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาสินค้า ให้ตอบโจทย์แนวโน้มความต้องการของผู้ผลิตบริโภคทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างกันในระดับสากล และในปีนี้ไฮไลต์ของงานจะเป็นการนำเสนอสินค้าที่สนองการค้าโลก นั่นคือการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งไทยเองตั้งเป้าการไปสู่ Net Zero emissions ในปี 2608

อย่างไรก็ตาม การจัดงานครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมแสดงสินค้ารวมกว่า 300 ราย 800 คูหา จากทั้งไทย อาเซียน จีน ฮ่องกง เกาหลี อินเดีย ตะวันออกกลาง และยุโรป ในงานจะมีทั้งแบรนด์ผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศชั้นนำ ผู้ผลิตส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ ผู้ผลิตตู้เย็น ตู้แช่แข็ง ไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญด้านออกแบบและก่อสร้างห้องเย็น ผู้ผลิตคอมเพรสเซอร์ในระบบทำความเย็นและผู้ผลิตระบบควบคุมและอุปกรณ์ในระบบทำความเย็น ตลอดจน ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำ ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน อุปกรณ์ไฟฟ้าอุตสาหกรรม/พาวเวอร์ซัพพลาย ไฟฟ้ากำลัง อุปกรณ์ไอที ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ประกอบ คาดการณ์ว่าจะมี ผู้สนใจเข้าชมงานจาก  ทั่วโลกมากกว่า 10,000 ราย และเกิดมูลค่าการเจรจาการค้าภายในงานกว่า 4,500 ล้านบาท

 

A person in a suit and tie

Description automatically generated

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์

เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

 

3. เชื่อมการลงทุนภาคตะวันออก ดันไทยศูนย์กลางผลิตชิ้นส่วนอาเซียน (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 5 กันยายน 2567)

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ภาคตะวันออกถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศโดยเฉพาะด้านการลงทุน การค้า และการท่องเที่ยวจากความโดดเด่นของโครงสร้างพื้นฐานที่มีศักยภาพพร้อมรองรับการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือน้ำลึก สนามบินนานาชาติ ระบบ โลจิสติกส์ ระบบโทรคมนาคม ไฟฟ้า ประปา และนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งนโยบายภาครัฐในการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ดังกล่าว โดยภาพรวมการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในภาคตะวันออก ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 มีจำนวน 625 โครงการ เงินลงทุนรวม 211,569 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึง 46% ของเงินลงทุนทั้งหมดของประเทศ นับว่าภาคตะวันออก เป็นพื้นที่รองรับการลงทุนที่มีมูลค่าสูงที่สุดของประเทศไทย โดยเฉพาะใน 3 คลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย คือ ยานยนต์และยานยนต์ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการยกระดับการลงทุนและซัพพลายเชนในพื้นที่ภาคตะวันออก บีโอไอ จึงได้ผนึกกำลังสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย (ไทยซับคอน) และอินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายภาคอุตสาหกรรม ร่วมเปิดงาน "SUBCON Thailand : The East 2024" ระหว่างวันที่ 4 - 6 กันยายน 2567 เวลา 09.00 - 17.00 น. ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาตินงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นการจัดงานต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และขยายพื้นที่เป้าหมายให้ครอบคลุม 8 จังหวัดในภาคตะวันออก ซึ่งเป็นภูมิภาคที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ประกอบกับมีการพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ สร้างการเชื่อมโยงของอุตสาหกรรมระหว่างจังหวัด

อย่างไรก็ตาม บีโอไอจึงได้ร่วมจัดงานครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่และผู้ผลิตชิ้นส่วนในพื้นที่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการภาคตะวันออกให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น รองรับการลงทุนใหม่ๆ ที่จะเข้ามา ผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตและจัดซื้อชิ้นส่วนในภูมิภาคอาเซียน อีกทั้งยังสนับสนุนให้ ผู้ประกอบการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ แลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยของภาคการผลิตเพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรม ยุคใหม่ที่ต้องมีทั้งความ Smart และ Green

 

ข่าวต่างประเทศ

A flag with a red blue and black circle

Description automatically generated

 

4. เกาหลีใต้เผย GDP หดตัวลง 0.2% ใน Q2/67 เหตุดีมานด์-การส่งออกชะลอตัว (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 5 กันยายน 2567)

ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจภายในประเทศหดตัวลงในไตรมาส 2/2567 เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศอ่อนแอลง และการส่งออกยังคงซบเซา ทั้งนี้ BOK ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) หดตัวลง 0.2% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ซึ่งสอดคล้องกับการประมาณการเบื้องต้น โดยข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของเกาหลีใต้อ่อนแอลงในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ที่มีการขยายตัว 1.3% เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2564 โดยในช่วงเวลาดังกล่าวเศรษฐกิจเกาหลีใต้ขยายตัว 1.4% ซึ่งเมื่อเทียบเป็นรายปี ตัวเลข GDP เกาหลีใต้ขยายตัว 2.3% ในไตรมาส 2 ซึ่งชะลอตัวลงจากไตรมาส 1 ซึ่งขยายตัว 3.3%

อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวยอนฮับรายงานว่า BOK ยังระบุด้วยว่าตัวเลขการใช้จ่ายของภาคเอกชนในไตรมาส 2 หดตัวลง 0.2% เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส หลังจากที่มีการขยายตัว 1.3% ในไตรมาส 1 สำหรับการส่งออกในไตรมาส 2 ปรับตัวขึ้น 1.2% ซึ่งชะลอตัวลงจากไตรมาส 1 ที่มีการขยายตัว 1.8% ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น 1.6% ซึ่งฟื้นตัวหลังจากที่ปรับตัวลดลง 0.4% ในไตรมาส 1 ส่วนการใช้จ่ายของรัฐบาลปรับตัวขึ้น 0.6% ในไตรมาส 2 และการลงทุนด้านการก่อสร้างลดลง 1.7% สวนทางกับในไตรมาส 1 ที่ปรับตัวขึ้น 3.3%

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)