ข่าวประจำวันที่ 2 ตุลาคม 2567

ข่าวในประเทศ

A person with her arms crossed

Description automatically generated

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม

อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

 

1. ต่างชาติลงทุนไทยเพิ่ม 23% 8 เดือนนำเงินเข้ากว่าแสนล้านบาท (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 2 ตุลาคม 2567)

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 เปิดเผยว่า ช่วง 8 เดือนของปี 2567 (มกราคม-สิงหาคม) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 จำนวน 535 ราย เพิ่มขึ้น 23% โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 143 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 392 ราย เงินลงทุนรวม ทั้งสิ้น 100,062 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52% จ้างงาน คนไทยจากนักลงทุนที่ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 2,505 คน ลดลง 44% โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. ญี่ปุ่น 136 ราย คิดเป็น 25% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 53,176 ล้านบาท 2. สิงคโปร์ 82 ราย คิดเป็น 15% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 8,438 ล้านบาท 3. สหรัฐฯ 76 ราย คิดเป็น 14% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ เงินลงทุน 3,589 ล้านบาท 4. จีน 68 ราย คิดเป็น 13% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ เงินลงทุน 8,350 ล้านบาท และ 5. ฮ่องกง 40 ราย คิดเป็น 7%    ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 12,330 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของนักลงทุนต่างชาติช่วง 8 เดือน ของปี 2567 มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 163 ราย คิดเป็น 30% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตในปีนี้ เพิ่มขึ้น 90% และมีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC 32,573 ล้านบาท คิดเป็น 33% ของเงินลงทุนทั้งหมด เพิ่มขึ้น 128% เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น 53 ราย ลงทุน 11,749 ล้านบาท จีน 39 ราย ลงทุน 3,901 ล้านบาท ฮ่องกง 15 ราย ลงทุน 5,064 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 56 ราย ลงทุน 11,859 ล้านบาท โดยธุรกิจที่ลงทุน อาทิ ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม โดยเป็นการออกแบบทางวิศวกรรมสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ธุรกิจบริการออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์ประเภทเข็มขัดนิรภัย ถุงลมนิรภัย ธุรกิจบริการซ่อมแซมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (อาทิ ผลิตภัณฑ์เคมีเพื่ออุตสาหกรรม ชิ้นส่วนสำหรับยานพาหนะ ชิ้นส่วนสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น) ธุรกิจบริการบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ เช่น การวางแผนจัดหาและจัดซื้อ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

 

A person sitting at a desk

Description automatically generated

นางศิริเพ็ญ เกียรติเฟื่องฟู

รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)

 

2. ชี้ไทยมีโอกาสเติบโตสูง สศอ.จัดทัพดันอาหารฮาลาลสู่ตลาดโลก (ที่มา: ไทยรัฐ, ประจำวันที่ 2 ตุลาคม 2567)

นางศิริเพ็ญ เกียรติเฟื่องฟู รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผย สศอ.ในฐานะหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนภารกิจอุตสาหกรรมฮาลาล เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาลในอาเซียน ได้กำหนดจัดกิจกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลไทยภายใต้ (ร่าง) แผนปฏิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลไทย ระยะที่ 1 (พ.ศ.2567-2570) ในปี 2567 ที่ขณะนี้ได้ดำเนินกิจกรรมดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว อาทิ การจัดกิจกรรมส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาลไทยในงาน Halal Inspirium เป็นการเปิดตัวศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาลไทยมีการจัดแสดงสินค้าและบริการ ฮาลาลไทยจากผู้ประกอบการ 40 บูธ การจัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจ โดยเชิญคู่ค้าที่สนใจเข้าร่วมงาน 37 บริษัท เกิดการจับคู่ธุรกิจ 139 คู่เจรจา รวมมูลค่าการค้า 88.7 ล้านบาท โดยล่าสุดตลาดอาหารฮาลาลโลกปัจจุบันมีมูลค่า 1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 61% ของตลาดฮาลาลโลกที่มีมูลค่ารวม 2.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ครอบคลุมสินค้าและบริการที่หลากหลาย ทั้งอาหาร เครื่องสำอาง แฟชั่น การท่องเที่ยว ประเมินว่าตลาดอาหารฮาลาลโลกจะมีมูลค่าทางการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 1.89 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2570 และในระยะยาวมีแนวโน้มขยายตัวเร็วกว่าอาหารทั่วไป ตามจำนวนประชากรมุสลิมโลกที่จะเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ขณะที่การดำเนินโครงการในปีนี้ในภาพรวมสามารถสร้างมูลค่าทางการค้าได้สูงถึง 335 ล้านบาท โดยตลาดผู้บริโภคอาหารฮาลาลขนาดใหญ่อยู่ในภูมิภาคเอเชีย แอฟริกา และตะวันออกกลาง นอกจากนี้ การแข่งขันในตลาดอาหารฮาลาลโลกส่วนใหญ่เป็นการแข่งขันกันเองระหว่างประเทศ Non-Muslim Country (ประเทศที่ไม่ใช่มุสลิม) โดยมีอินเดีย บราซิล จีน และสหรัฐฯ เป็นผู้นำตลาด สำหรับประเทศไทยแม้เป็นผู้ผลิตอาหารรายสำคัญของโลก แต่สัดส่วนในการส่งออกอาหารฮาลาลยังค่อนข้างต่ำ มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 2.7% ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก

อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 กระทรวงอุตสาหกรรมมีแผนพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลเพิ่มเติม อาทิ พัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศอัจฉริยะอุตสาหกรรมฮาลาล (Halal Intelligence Unit) ประกอบด้วยฐานข้อมูลที่จำเป็นสำหรับผู้ประกอบการครอบคลุมทุกด้านเร่งขยายตลาดสินค้าและบริการฮาลาลไทย โดยการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าระดับโลก  ในภูมิภาคต่างๆ เพิ่มขึ้นทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาลแห่งอนาคต (Halal Future Food) อาทิ อาหารพร้อมรับประทาน (Ready-to-Eat) เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มมุสลิมรุ่นใหม่ พัฒนาผลิตภัณฑ์แฟชั่นฮาลาล โดยมุ่งเน้นด้านการออกแบบเชื่อมโยงเอกลักษณ์พื้นถิ่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยา สมุนไพร และเครื่องสำอาง เป็นต้น

 

A person in a suit

Description automatically generated

ดร.ชัยชาญ เจริญสุข

ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.)

 

3. สรท.คาดส่งออกโตเกิน 2% ช่วงที่เหลือของปีจับตา 5 ปัจจัยลบ (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 2 ตุลาคม 2567)

ดร.ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยถึงภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนสิงหาคม 2567 กับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า การส่งออกมีมูลค่า 26,182.3 ขยายตัว 7.0% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 939,521 ล้านบาท ขยายตัว 13.0%(เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในเดือนสิงหาคมขยายตัว 6.6% ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 25,917.4    ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 8.9% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 941,019 ล้านบาท ขยายตัว 15.0% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนสิงหาคม 2567 เกินดุลเท่ากับ 264.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาดดุลในรูปของเงินบาท 1,497 ล้านบาท ส่วนภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือนมกราคม-สิงหาคม ของปี 2567 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ไทยส่งออกรวมมูลค่า 197,192.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 4.2% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 7,068,821 ล้านบาท ขยายตัว 9.9 % (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่า การส่งออกในช่วงมกราคม - สิงหาคม ขยายตัว 4.3%) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 203,543.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 5.0% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 7,378,253 ล้านบาท ขยายตัว 10.5% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ขาดดุลเท่ากับ 6,351.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นการขาดดุลในรูปเงินบาท 309,432 ล้านบาท ทั้งนี้ สรท.คาดการณ์การส่งออกปี 2567 เติบโตไม่น้อยกว่า 2% (ณ ตุลาคม 2567)

อย่างไรก็ตาม สำหรับปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังในโค้งสุดท้ายของปี มี 5 ปัจจัยด้วยกัน ได้แก่ 1. ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลโดยตรงต่อการส่งออก เนื่องจากขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาลดลง ประกอบกับ ผู้ประกอบการเข้าไม่ถึงสินเชื่อ ส่งผลต่อสภาพคล่องทางธุรกิจต่อเนื่อง 2. ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางยังคงยืดเยื้อ การเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจส่งผลต่อการแบ่งขั้วอย่างชัดเจน สหรัฐฯ เริ่มมาตรการ safeguard 27 กันยายน ที่ผ่านมา กับสินค้ารถยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนแผงโซลาร์เซลล์ ขณะที่ปี 2568 เริ่มมาตรการดังกล่าวกับสินค้าถุงมือยาง ชิพ และอื่นๆ 3. ดัชนีภาคการผลิต หรือ Manufacturing PMI หดตัวต่อเนื่อง แม้ยังคงมี Demand อยู่ 4. ปัญหาการขนส่งสินค้าทางทะเล ค่าระวางเรือยังคงเริ่มมีการปรับลดลงมาในหลายเส้นทางสำคัญ และ 5. ปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นทางภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่อาจได้รับผลกระทบมากและส่งผลต่อเนื่องถึงต้นทุนวัตถุดิบและปริมาณสินค้าเกษตรออกสู่ตลาดไม่เพียงพอในระยะถัดไป

 

ข่าวต่างประเทศ

A flag with a red blue and black circle

Description automatically generated

 

4. เงินเฟ้อเกาหลีใต้ชะลอแตะระดับต่ำสุดรอบ 3 ปีครึ่ง (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 2 ตุลาคม 2567)

สำนักงานสถิติแห่งชาติของเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า เงินเฟ้อของเกาหลีใต้ชะลอตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปีครึ่งในเดือนกันยายน 2567 โดยลดลงต่ำกว่า 2% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นปี 2564 โดยข้อมูลระบุว่า ราคาผู้บริโภค ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือนกันยายนเมื่อเทียบเป็นรายปี ชะลอตัวลงหลังจากที่เพิ่มขึ้น 2% ในเดือนสิงหาคม โดยตัวเลขเดือนกันยายน ถือเป็นอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.4% ทั้งนี้ สำนักข่าวยอนฮับรายงานว่า ราคาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ปศุสัตว์ และประมง เพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนราคาผักเพิ่มขึ้น 11.5% เนื่องจากคลื่นความร้อนที่ยาวนาน

อย่างไรก็ตาม ในบรรดารายการสินค้าสำคัญ ราคาผักกาดขาวพุ่งขึ้น 53.6% และราคาหัวไชเท้าพุ่งขึ้น 41.6% ส่งผลให้ครัวเรือนต้องเผชิญกับแรงกดดัน เนื่องจากผักกาดขาวและหัวไชเท้าเป็นส่วนผสมหลักของกิมจิ ซึ่งโดยปกติแล้วจะทำในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม เนื่องจากผู้คนมักจะทำกิมจิในปริมาณมากเพื่อเตรียมรับมือกับอากาศหนาวเย็นในช่วงฤดูหนาว ทั้งนี้ รัฐบาลเกาหลีใต้คาดว่า เงินเฟ้อเกาหลีใต้จะบรรลุเป้าหมาย 2% ได้ภายในสิ้นปี 2567 และมองว่าอัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคอยู่ต่ำกว่า 3% เป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกันจนถึงเดือนกันยายน

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)