ข่าวในประเทศ
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
1. สมอ.รื้อมาตรฐาน 'หม้อแปลงไฟฟ้า' จ่อประกาศใช้ม.ค. (ที่มา: ไทยโพสต์, ประจำวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567)
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้กำชับให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เร่งกำหนดมาตรฐาน รวมทั้งทบทวนมาตรฐานที่มีส่วนในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่มีอายุมากกว่า 5 ปี ให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับกระบวนการผลิตในปัจจุบัน โดยอ้างอิงตามมาตรฐานสากล เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมได้นำมาตรฐานไปใช้ยกระดับคุณภาพสินค้าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และให้หน่วยงานที่มีภารกิจโดยตรงได้นำมาตรฐานไปใช้ในการอ้างอิงในการปฏิบัติงาน เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นต้น โดยมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ที่ สมอ.แก้ไขเรียบร้อยแล้วและกำลังจะมีผลใช้งานตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2568 เป็นต้นไป คือ มาตรฐาน "หม้อแปลงไฟฟ้ากำลัง" ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เปลี่ยนกระแสไฟเพื่อให้เหมาะสมกับระบบส่งกำลังไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวว่า สมอ. ได้ประกาศใช้มาตรฐานหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังมาตั้งแต่ปี 2524 และได้มีการทบทวนมาตรฐานมาอย่างต่อเนื่อง โดยประกาศใช้ครั้งที่ 2 ปี 2543 และครั้งที่ 3 ปี 2567 ที่จะมีผลใช้งานในวันที่ 5 มกราคม 2568 การทบทวนมาตรฐานในครั้งนี้ เพื่อให้ทันสมัยสอดคล้องกับเทคโนโลยีการผลิตในปัจจุบัน โดยการอ้างอิงตามมาตรฐาน IEC และแก้ไขขอบข่ายให้ชัดเจนขึ้น เพื่อให้มีคุณลักษณะตามมาตรฐานสากล ครอบคลุมหม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ใช้งานภายในหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ โรงงานอุตสาหกรรม และอาคารสถานที่ต่างๆ ฯลฯ ไม่ครอบคลุมหม้อแปลงไฟฟ้าขนาดเล็กที่เคลื่อนที่ได้
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
2. 'พีระพันธุ์' ดันร่างกม. ส่งเสริมปาล์มน้ำมันเลิกชดเชยไบโอดีเซล (ที่มา: ข่าวหุ้น, ประจำวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567)
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานได้เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของราคานำมันไบโอดีเซลที่จะปรับตัวสูงขึ้น หลังสิ้นสุดการอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในปี 2569 พร้อมหาแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันที่จะได้รับผลกระทบในอีก 2 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ในฐานะที่มีส่วนกำกับดูแลกระทรวงอุตสาหกรรม ได้หารือกับ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้งปลัดกระทรวงพลังงาน และปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา และได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อยกร่างกฎหมายส่งเสริมปาล์มน้ำมันให้กับเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน โดยมอบหมายให้ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เป็นประธานคณะกรรมการดังกล่าว และคาดว่าภายใน 5-6 เดือนหลังจากนี้จะเริ่มเห็นรูปร่างของโครงการชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยปาล์มน้ำมันถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญกับพี่น้องเกษตรกรชาวสวนปาล์มเป็นอย่างมาก และในอดีตน้ำมันปาล์มยังถูกนำมาใช้ประโยชน์ในช่วงที่น้ำมันดีเซลมีราคาแพง โดยนำมาผสมกับน้ำมันดีเซล ทำให้มีปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้นและราคาถูกลง เรียกว่า น้ำมันไบโอดีเซล หรือ B 100 เนื่องจากน้ำมันปาล์มในช่วงเวลานั้นมีราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซลหลายเท่า แต่ปัจจุบันราคาน้ำมันปาล์มตกอยู่ที่ประมาณ 41-42 บาทต่อลิตร ซึ่งแพงกว่าเนื้อน้ำมันดีเซลที่น่ามาผสมเกือบเท่าตัว จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันในประเทศไทยแพงขึ้น และต้องใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาชดเชยให้ราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ซึ่งเหลือเวลาให้ชดเชยได้อีกเพียง 2 ปีเท่านั้น ขณะเดียวกัน ด้านเกษตรกรผู้ผลิตปาล์มน้ำมันก็เริ่มมีปัญหาส่วนแบ่งราคากับโรงสกัด และผลประโยชน์จากราคาน้ำมันปาล์มที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ไปไม่ถึงเกษตรกรอย่างที่ควรจะได้รับ ทั้งนี้ จากผลผลิตน้ำมันปาล์มทั้งหมดในประเทศ 1 ใน 3 นำมาผสมกับน้ำมันดีเซลเพื่อใช้ภายในประเทศ ส่วน อีก 2 ใน 3 นำไปผลิตน้ำมันพืชและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ โดยมีการส่งออกในส่วนนี้ประมาณ 20%
อย่างไรก็ตาม ดังนั้นเพื่อดูแลเกษตรกรผู้ผลิตปาล์มน้ำมันให้ได้ค่าตอบแทนผลผลิตที่เป็นธรรมและถูกต้องจึงต้องร่างกฎหมายออกมาฉบับหนึ่ง ชื่อว่ากฎหมายส่งเสริมปาล์มน้ำมัน ซึ่งจะมีรูปแบบเหมือนกฎหมายอ้อยและนำตาล เพื่อเป็นการรองรับในอีก 2 ปีข้างหน้า เมื่อกองทุนน้ำมันต้องหยุดชดเชยการผสมน้ำมันปาล์มในเนื้อน้ำมัน และต้องเร่งทำให้เกิดความเป็นธรรมกับเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน รวมทั้งสายการผลิตที่จะนำผลปาล์มน้ำมันไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้มีการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ดีกว่าในปัจจุบัน
นายพรยศ กลั่นกรอง
รักษาการอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม
3. กรอ.รับลูก 'เอกนัฏ' ตรวจเข้มล็อกเป้า 218 โรงงานเสี่ยงสูง (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567)
นายพรยศ กลั่นกรอง รักษาการอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้านโยบายนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) บูรณาการร่วมกับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) ทั่วประเทศ เปิด "ปฏิบัติการตรวจสุดซอย" ต่อเนื่อง ว่า นโยบายปูพรมตรวจกำกับดูแลจะล็อกเป้าโรงงานกลุ่มเสี่ยงสูงในพื้นที่เฝ้าระวัง เช่น จังหวัดชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา ราชบุรี ลพบุรี สุพรรณบุรี นครราชสีมา เพชรบูรณ์ เป็นต้น รวมจำนวน 218 ราย โดยเฉพาะโรงงานที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดกำจัดกากอุตสาหกรรม หรือโรงงานลำดับที่ 101, 105 และ 106 ทั้งที่เป็นของเสียอันตรายและไม่เป็นของเสียอันตราย เช่น การคัดแยก หลุมฝังกลบ ทำเชื้อเพลิงผสม ทำเชื้อเพลิงทดแทนจากน้ำมันและตัวทำละลายใช้แล้ว สกัดแยกโลหะ ถอดแยกบดย่อยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หลอมตะกรัน รีไซเคิลกรดด่าง เป็นต้น ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบกับประชาชนและสิ่งแวดล้อม โดย กรอ.และ สอจ.จะดำเนินการขยายผลปูพรมตรวจโรงงานทั่วประเทศ โดยให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทุกจังหวัดตรวจสอบและวางแผนดำเนินการ คาดใช้เวลาภายใน 2 เดือน หากพบโรงงานที่กระทำผิดจะสั่งลงโทษเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม กรอ.พร้อมทำงานเป็นเนื้อเดียวกับ สอจ.ในการกำกับดูแลโรงงานทั่วประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบกับชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรอบ รวมทั้งพร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อสู้กับผู้ประกอบการที่เย้ยกฎหมาย หากพบโรงงานทำผิดกฎหมายจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
ข่าวต่างประเทศ
4. ยอดขายรถยนต์ใหม่ในยุโรปทรงตัวในเดือนต.ค. เซ่นพิษดีมานด์ลด-ต้นทุนการผลิตสูง (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567)
สมาคมผู้ผลิตรถยนต์ยุโรป (ACEA) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่ในยุโรปทรงตัวในเดือนตุลาคม 2567 หลังจากลดลง 2 เดือนติดต่อกัน ในขณะที่การเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) และรถยนต์ไฮบริด (HEV) มีความคืบหน้าในเดือนตุลาคม โดยยอดขายรวมในสเปนและเยอรมนีเพิ่มขึ้น 7.2% และ 6% ตามลำดับ ซึ่งได้ช่วยชดเชยยอดขายที่ลดลงในฝรั่งเศส, อิตาลี และอังกฤษ ทั้งนี้ ทางด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ผู้ผลิตยานยนต์ในยุโรปกำลังเผชิญกับอุปสงค์ที่ลดลง, ต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูง และความท้าทายในการเปลี่ยนไปใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ขณะเดียวกันก็เผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากจีน
อย่างไรก็ตาม สำหรับจำนวนรถยนต์ใหม่ที่มีการจดทะเบียนในเดือนตุลาคม 2567 ในสหภาพยุโรป (EU), อังกฤษ และสมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) เพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ 1.04 ล้านคัน ส่วนยอดขาย BEV เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยเพิ่มขึ้น 6.9% ในเดือนตุลาคม ขณะที่ยอดขาย HEV เพิ่มขึ้น 15.8% โดยยอดจดทะเบียนรถยนต์โฟล์คสวาเกน (Volkswagen) ใน EU, อังกฤษและ EFTA เพิ่มขึ้น 12.6% ขณะที่ยอดจดทะเบียนรถยนต์ของสเตลแลนติส (Stellantis) ลดลง 16.7% และของเรโนลต์ (Renault) ลดลง 0.4% ส่วนยอดขายรถ EV ของเทสลา (Tesla) ลดลง 23.1% และยอดขายของเอสเอไอซี มอเตอร์ (SAIC Motor) ของจีนก็ลดลง 10% เช่นกัน
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)