ข่าวประจำวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567

ข่าวในประเทศ

A person in a suit and tie

Description automatically generated

นายพิชัย นริพทะพันธุ์

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

 

1. "พิชัย" จี้เจรจา FTA ให้จบเร็ว (ที่มา: ไทยรัฐ, ประจำวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567)

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในช่วงการเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีเอเปก ครั้งที่ 35 และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 31 เมื่อวันที่ 13-16 พฤศจิกายน 2567 ที่กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรูนั้น ตนได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีการค้ารวม 7 เขตเศรษฐกิจเอเปก ได้แก่ เกาหลีใต้ ฮ่องกง ชิลี ญี่ปุ่น สหรัฐฯ ออสเตรเลีย และแคนาดา เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้า และการลงทุนระหว่างกัน พร้อมเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในไทย และผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมสมัยใหม่ในภูมิภาค ทั้งนี้ ยังใช้โอกาสนี้เร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ทั้งที่ยังเจรจาค้างอยู่ เช่น อาเซียน-แคนาดา, ไทย-เกาหลีใต้ และที่จะต้องแก้ไขเพิ่มเติม เช่น ไทย-ชิลี ให้จบโดยเร็วเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ รวมถึงอำนวยความสะดวก และเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างกัน นอกจากนี้ ได้ผลักดันให้รื้อฟื้นกลไกการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (เจทีซี) ระดับรัฐมนตรีกับเกาหลีใต้ ที่ห่างหายไปนานกว่า 20 ปีแล้วด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ทางด้านนางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า กรมจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเจรจาจัดทำเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรป (EU) รอบที่ 4 วันที่ 25-29 พฤศจิกายน 2567 นี้ ที่กรุงเทพฯ ซึ่งการเจรจาครั้งนี้จะประกอบด้วยการประชุมระดับหัวหน้าคณะและการประชุมกลุ่มย่อย 20 กลุ่ม โดยทีมเจรจาฝ่ายไทยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง สำหรับผลการเจรจาทั้ง 3 รอบที่ผ่านมาในภาพรวมมีความคืบหน้าเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากทีมเจรจาของทั้ง 2 ฝ่ายมีการเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดี

 

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม

อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

 

2. พาณิชย์กางแผนปราบนอมินี (ที่มา: ไทยโพสต์, ประจำวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567)

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมเตรียมแผนตรวจสอบธุรกิจที่มีแนวโน้มเข้าข่ายเป็นนอมินี หรือการให้คนไทยถือหุ้นแทนคนต่างด้าว เพื่อหลีกเลี่ยงการขออนุญาตประกอบธุรกิจตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 โดยในปี 2568 กรมมีเป้าหมายที่จะตรวจสอบนิติบุคคลจำนวน 26,830 ราย ซึ่งจะเน้นในธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ธุรกิจค้าที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ต โลจิสติกส์และการขนส่ง แพลตฟอร์มออนไลน์ และคลังสินค้า เป็นต้น โดยพุ่งเป้าในทุกจังหวัด ตามที่ได้รับการร้องเรียนจากภาคเอกชน ภาคธุรกิจ หรือมีข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันไม่ให้คนต่างด้าวมาแอบอ้างใช้คนไทยเป็นนอมินี และทำธุรกิจที่สงวนไว้ให้กับคนไทย สำหรับขั้นตอนการตรวจสอบ จะตรวจตั้งแต่ขั้นการจดทะเบียน ทั้งก่อนจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล ตลอดจนตรวจสอบเอกสารที่ธนาคารออกให้ เพื่อรับรองหรือแสดงฐานะการเงินของผู้เป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นคนไทยที่ลงทุน หรือถือหุ้นในนิติบุคคลร่วมกับคนต่างด้าว เพื่อแสดงความน่าเชื่อถือว่าคนไทยที่ร่วมลงทุนมีฐานะทางการเงินที่สามารถลงทุนด้วยตนเองได้ และเมื่อจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว จะพิจารณาในเรื่องการถือหุ้น ซึ่งเดิมดูตั้งแต่สัดส่วน 40% ขึ้นไป นอกจากนี้ กรมกำลังพิจารณาจัดทำระบบวิเคราะห์แนวโน้มพฤติกรรมของนิติ บุคคลที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจตามกฎหมาย หรือ IBAS ซึ่งจะช่วยวิเคราะห์นิติ บุคคลกลุ่มเสี่ยงเป็นนอมินี โดยจะมีโจทย์ใส่เข้าไปในระบบ เช่น ชื่อบุคคลที่มีความเสี่ยง ที่ได้รับจากหน่วยงานพันธมิตร หรือชื่อบุคคลที่ต้องจับตา อย่างคนคนเดียว แต่มีชื่อในหลายบริษัท หรือศักยภาพในการทำธุรกิจ คาดจะทำเสร็จภายใน 6 เดือน ซึ่งจะนำมาใช้ตรวจวิเคราะห์นิติบุคคลที่เสี่ยงเป็นนอมินีได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้รายงานผลการตรวจสอบนอมินีปี 2567 ว่า ตรวจสอบทั้งสิ้นจำนวน 26,019 ราย ใน 4 ธุรกิจ คือ ธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ธุรกิจค้าที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต และธุรกิจโลจิสติกส์และขนส่ง และได้คัดกรองตรวจสอบอย่างเข้มข้นเหลือ 498 ราย โดยใน 498 ราย ได้ยุติเรื่องไปแล้ว 371 ราย เพราะไม่พบความเสี่ยง ส่วน อีก 64 ราย ได้แจ้งข้อกล่าวหากระทำผิดเกี่ยวกับบัญชี ซึ่ง ได้ส่งเรื่องต่อให้กรมสรรพากรดำเนินการแล้ว และอยู่ระหว่างตรวจสอบอีก 63 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ พบว่ามี 4 ราย ที่ต้องสงสัยว่าอาจเข้าข่ายเป็นนอมินี อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ สุราษฎร์ธานี และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลและจะส่งต่อให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายขยายผลการตรวจสอบต่อไป

 

 

A person in a suit and tie

Description automatically generated

นายโอฬาร จันทร์ภู่

นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน

3. เชื่อ 2568 แข่งขันดุผู้รับเหมาลงชิงตลาดรับสร้างบ้านเปิดศึกหั่นราคา (ที่มา: ดอกเบี้ยธุรกิจ, ประจำวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567)

นายโอฬาร จันทร์ภู่ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในไตรมาส 4/2567 มีแนวโน้มค่อนข้างดีและเป็นไปในทิศทางบวก เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เนื่องจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศและขานรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประกาศใช้ทั้งมาตรการแจกเงิน 10,000 บาทที่แจกกลุ่มเปราะบาง และแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยว ทำให้ผู้บริโภคที่วางแผนสร้างบ้านเริ่มกลับมาตัดสินใจสร้างบ้านอีกครั้งหลังจากชะลอแผนในช่วงที่ผ่านมา สำหรับความต้องการสร้างบ้านที่มีสัญญาณฟื้นตัวดีในไตรมาส 4/2567 ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มบ้านระดับราคา 5-10 ล้านบาท รองลงมาเป็นกลุ่มบ้านระดับราคา 20 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนจากยอดสั่งสร้างบ้านภายในงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2024 ครั้งล่าสุด นอกจากนี้ ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีตลาดรับสร้างบ้านยังได้รับปัจจัยบวกจากแรงจูงใจด้านการลดหย่อนภาษีการสร้างบ้านสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกสร้างบ้านมูลค่า 1 ล้านบาท สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษี 10,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 1 แสนบาท (ราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท) ซึ่งจากสภาพเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมก็ยังทำให้ผู้บริโภคยังคงไม่ได้กลับมาเต็มที่และคงขาดความเชื่อมั่นอยู่ คาดว่ามูลค่ารวมยอดเซ็นสัญญาสั่งสร้างบ้าน กับบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกสมาคมในสิ้นปี 2567 จะอยู่ที่ 11,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านปี 2568 โดยรวมสัญญาณค่อนข้างดีขึ้นจากปัจจัยสนับสนุน ทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น โครงการสินเชื่อซ่อม-สร้าง นอกจากนี้กลุ่มมานต์บ้านหรูยังเติบโตทั้งในตลาดกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด รวมไปถึงปัจจัยภายนอกอย่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่จะมีความชัดเจนด้านนโยบายต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยในภาพรวม สำหรับแนวโน้มการแข่งขันในปี 2568 คาดว่า จะรุนแรงขึ้น จากการที่ผู้รับเหมาในโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่หันมารับงานสร้างบ้านโดยเป็นการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ส่วนใหญ่ที่พบจะเน้นรับก่อสร้างบ้านในราคาที่ต่ำกว่าตลาดรับสร้างบ้าน จึงมีความน่ากังวล ทั้งในประเด็นการแข่งขันรวมไปถึงคุณภาพและมาตรฐานการสร้างบ้านที่จะส่งมอบถึงมือผู้บริโภค ซึ่งการรับสร้างบ้านในราคาที่ต่ำอาจส่งผลต่อคุณภาพงาน นอกจากนี้หากเป็นบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้เข้าระบบภาษีมารับงาน อาจทำสัญญาที่ไม่ได้มาตรฐานทำให้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านได้ ซึ่งสมาคมเตรียมให้สมาชิกรับมือกับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้น โดยเน้นที่การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาคุณภาพงานที่ดีและได้มาตรฐาน

 

ข่าวต่างประเทศ

A red flag with yellow stars

Description automatically generated

 

4. นักวิเคราะห์คาดยอดส่งออกจีนทำสถิติสูงสุดปีนี้ ก่อน "ทรัมป์" คัมแบคทำเนียบขาว (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567)

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก เปิดเผยว่า ได้ทำการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์ในระหว่างวันที่ 15-21 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งพบว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่ายอดส่งออกของจีนจะพุ่งขึ้น 7% ในไตรมาส 4/2567 เพิ่มขึ้นจากระดับ 5% ในการสำรวจก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกโดยรวมของจีนในปี 2567 พุ่งขึ้นแตะระดับ 3.548 ล้านล้านดอลลาร์ สูงกว่าสถิติสูงสุดที่ทำไว้ในปี 2565 ทั้งนี้ ทางด้านเอริกา เทย์ นักวิเคราะห์จากเมย์แบงก์ อินเวสต์เมนท์แบงกิง กรุ๊ป (Maybank Investment Banking Group) กล่าวว่า การส่งออกของจีนมีแนวโน้มที่จะได้รับปัจจัยบวกจากการที่บริษัทต่างชาติแห่สต็อกสินค้า นอกจากนี้ เราคาดว่าสงครามการค้าอาจจะเป็นปัจจัยผลักดันให้รัฐบาลจีนหันมาใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นสร้างการเติบโตด้านการอุปโภคบริโภคภายในประเทศในปีหน้า โดยในเดือนตุลาคมปีนี้ ยอดส่งออกของจีนพุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 12.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนยอดนำเข้าลดลง 2.3% ในเดือนตุลาคม โดยยอดส่งออกที่พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งส่งผลให้จีนมียอดเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้นแตะระดับ 9.527 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนตุลาคม จากเดือนกันยายนที่ระดับ 8.171 หมื่นล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม สำหรับในไตรมาส 3 ปีนี้ การส่งออกของจีนขยายตัวในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 ซึ่งทำให้จีนมีแนวโน้มที่จะทำสถิติเกินดุลการค้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ โดยในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ทรัมป์ประกาศว่าจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน สู่ระดับสูงถึง 60% ซึ่งเป็นระดับที่นักวิเคราะห์ของบลูมเบิร์กประเมินว่าจะส่งผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจจีนและสหรัฐฯ ส่วนในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรกนั้น เขาได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 25% ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลจีนตอบโต้ด้วยการใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)