ข่าวในประเทศ
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
1. 'เอกนัฏ' ดันไทยฮับโกโก้อาเซียนใน 3 ปี มุ่งสินค้าจีไอโกยรายได้เพิ่ม 8 พันล้าน (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 26 พฤศจิกายน 567)
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมโกโก้ในอาเซียน ว่า โกโก้สร้างมูลค่าตั้งแต่ผลสด เมล็ดแห้ง และการแปรรูปเป็นสินค้าสร้างสรรค์ ได้รับความนิยมในไทย เช่น โมเดลธุรกิจคาเฟ่ ท่องเที่ยว คนรุ่นใหม่ ที่ผันตัวมาเป็นผู้ประกอบการเกษตร รวมถึงการจ้างงานในชุมชนที่มากขึ้น 6 เดือนแรกของปี 2567 ไทยมีผลผลิตโกโก้รวมทั้งหมด 1,016.78 ตัน พบการตื่นตัวของผู้ประกอบการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มูลค่าสูงหลายรูปแบบ เช่น เครื่องสำอาง น้ำสกัดโกโก้ ทั้งนี้ ทางด้านนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า เป้าหมายสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมโกโก้ คือ การผลักดันให้พันธุ์ต่างๆ ที่กำลังพัฒนาและปลูกในแต่ละภูมิภาคก้าวสู่การเป็นสินค้าจีไอ เพิ่มมูลค่าของโกโก้ในรูปแบบของสินค้าและบริการพัฒนาให้โดดเด่นในเชิงคุณภาพ อัตลักษณ์ทางรสชาติ หลีกเลี่ยงการแข่งขันเชิงปริมาณ ได้มอบนโยบายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม สนับสนุนโกโก้ในเชิงรุกผ่านการให้ความรู้ นำเครื่องจักร เทคโนโลยี และระบบอัตโนมัติสนับสนุน ผู้ประกอบการ พัฒนามาตรฐาน ตลอดจนการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทางด้านน.ส.ณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า ดีพร้อมวางแผนการ ส่งเสริมโกโก้ในระยะ 3 ปี (2567-2569) โดยวางเป้าเพิ่มจำนวนผลผลิตภาคเหนือเพิ่มขึ้น 240 ตัน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพิ่มขึ้น 57 ตัน ภาคใต้เพิ่มขึ้น 113 ตัน ภาคตะวันออกเพิ่มขึ้น 682 ตัน และภาคกลางเพิ่มขึ้น 5 ตัน คาดว่า จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจ ไม่น้อยกว่า 8,000 ล้านบาท ด้วยมาตรการต่างๆ ประกอบด้วย พัฒนาบุคลากรภาคการเกษตร พัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการ พัฒนาปัจจัยเอื้อด้วยการยกระดับมาตรฐานเมล็ดโกโก้ และส่งเสริมด้านการตลาด ปีนี้ได้เน้นการทดสอบตลาดในงานแสดงสินค้า เช่น THAIFEX ANUGA ASIA 2024 งาน Craft Cocoa Village ส่วนปี 2568-2569 จะเน้นการผลักดันเข้าสู่โมเดิร์นเทรดให้มากขึ้น
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
2. จีนจ่อลงทุนไทยกว่า 9 หมื่นล. (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567)
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยผลการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน นำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ประสบความสำเร็จด้วยดี โดยมีบริษัทชั้นนำของจีนเข้าร่วมงานอย่างคับคั่งกว่า 600 ราย นับว่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความสนใจอย่างมากของนักลงทุนจีนที่มีต่อไทย โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนจีนที่ต้องการกระจายฐานการผลิตออกสู่ตลาดโลกท่ามกลางความกังวลต่อมาตรการกีดกันการค้ารอบใหม่ของสหรัฐ ทั้งนี้ ในงานสัมมนาใหญ่เพื่อเชิญชวนนักลงทุนจีน นายพิชัย ได้ย้ำถึงการเตรียมรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งด้านพื้นที่ โครงสร้างพื้นฐาน พลังงานสะอาด น้ำ การเตรียมพร้อมด้านบุคลากร และการอำนวยความสะดวกของภาครัฐ เพื่อให้การลงทุนในไทยประสบความสำเร็จและเกิดประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งโอกาสความร่วมมือกับสาธารณรัฐประชาชนจีนและมหานครเซี่ยงไฮ้ โดยเฉพาะด้านดิจิทัลอีโคโนมี และกรีนอีโคโนมี นอกจากนี้ยังได้หารือและเจรจาแผนการลงทุนเป็นรายบริษัทกับนักลงทุนเป้าหมายรายใหญ่ 6 บริษัท ใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งกำลังเตรียมแผนการลงทุนในไทย คาดว่าจะมีมูลค่าเงินลงทุนรวมกันกว่า 90,000 ล้านบาท ทั้งอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ต้นน้ำระดับเซลล์ 2 ราย ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับสูงที่เป็นหัวใจของการผลิตแบตเตอรี่ ให้ความสนใจลงทุนในไทยเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ระบบกักเก็บพลังงาน และอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด, อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง 3 ราย ทั้งการผลิตอุปกรณ์ขั้นสูงที่ใช้ในระบบโทรคมนาคม และดาต้า เซ็นเตอร์, การวิจัย ออกแบบและผลิตชิป กลุ่มนี้สนใจลงทุนเพื่อใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดโลก ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานและพัฒนาบุคลากรด้านวิศวกรรมขั้นสูงจำนวนมาก รวมถึงช่วยยกระดับภาคอุตสาหกรรมและขีดความสามารถในการพัฒนาเอไอของไทย
อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ยังมีอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ชีวภาพ 1 ราย เป็นการพัฒนาบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยที่มีมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก สำหรับใช้บรรจุอาหารและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบและเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรของไทย
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์
ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
3. ส.อ.ท.หั่นเป้าผลิตรถอีก 2 แสนคัน ตลาดในประเทศลดลงสุดรอบ 54 เดือน (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567)
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท.ได้ปรับตัวเลขประมาณการการผลิตรถยนต์ปี 2567 ลดลง 200,000 คัน จาก 1,700,000 คัน เป็น 1,500,000 คัน โดยเป็นการปรับลดในส่วนของการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศลงจาก 550,000 คัน เป็น 450,000 คัน และการผลิตเพื่อส่งออกลดลงจาก 1,150,000 คัน เป็น 1,050,000 คัน ทั้งนี้ ถือเป็นการปรับลดลงของตัวเลขประมาณการการผลิตรถยนต์ครั้งที่ 2 จากรอบแรกที่ปรับไปแล้ว 200,000 คัน เท่ากับว่าปี 2567 นี้ปรับลดลงถึง 400,000 คัน จากเป้าหมายแรกตั้งแต่ต้นปีตั้งไว้ 1.9 ล้านคัน เนื่องจากยอดขายในประเทศปรับลดลง จากการเข้มงวดในการให้กู้ซื้อรถยนต์ของสถาบันการเงิน โดยยอดผลิตรถยนต์ในช่วง 10 เดือนของปี 2567 (มกราคม-ตุลาคม 2567) มีจำนวนทั้งสิ้น 1,246,868 คัน ลดลงจากปีก่อน 19.28% รวมทั้งยอดผลิตเพื่อส่งออกลดลง 4.69% อยู่ที่ 861,916 คัน และการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศลดลง 39.89% อยู่ที่ 384,952 คัน ส่วนยอดผลิตรถยนต์ในเดือนตุลาคม 2567 มีทั้งสิ้น 118,842 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 25.13% เนื่องจากการผลิตเพื่อส่งออกลดลง 7% อยู่ที่ 87,741 คัน และการผลิตเพื่อขายในประเทศลดลง 51.70% อยู่ที่ 31,101 คัน ทังนี้ เป็นไปในทิศทางเดียวกับยอดขายรถยนต์ในประเทศอยู่ที่ 37,691 คัน ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 36.08% ต่ำสุดในรอบ 54 เดือน นับตั้งแต่ยกเลิกล็อกดาวน์จากการระบาดของโรคโควิด 19 ในปี 2563 เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดในการให้กู้ซื้อรถยนต์เป็นหลัก ส่งผลให้จำนวนบัญชีผู้กู้ซื้อรถยนต์ในไตรมาส 3 ของปี 2567 มี 6,365,571 บัญชี ลดลงจากปีก่อน 199,655 บัญชี คิดเป็น 3.0% และลดลงจากไตรมาสก่อน 75,377 บัญชี คิดเป็น 1.2% มีจำนวนเงินหนี้รถยนต์ 2,465,204 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 5.8% โดยเฉพาะรถบรรทุกลดลงจากเศรษฐกิจของประเทศที่ยังอ่อนแอ เติบโตในอัตราต่ำ และหนี้ครัวเรือนสูง ดัชนีภาคอุตสาหกรรมขยายตัวต่ำที่ 0.1% ในไตรมาส 3
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์คงต้องรอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งหากเร่งส่งเสริมการลงทุนให้เกิดขึ้นจริงตามคำขอส่งเสริมการลงทุนที่มากสุดในรอบ 10 ปี เชื่อว่าจะทำให้ระบบเศรษฐกิจของไทยกลับมาเติบโตได้ปีละ 4-5% อีกครั้ง ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ส่วนการจัดงานมอเตอร์โชว์ในช่วงปลายปี 2567 นี้ ก็เชื่อว่าจะกระตุ้นยอดขายในประเทศได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งทุกครั้งจะมียอดจองเกินเป้าหมาย แต่ยังกังวลว่ายอดปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินอาจไม่เป็นไปตามยอดจอง
ข่าวต่างประเทศ
4. ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกาหลีใต้ลดลง เหตุส่งออกชะลอตัว-ผวานโยบาย "ทรัมป์" (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567)
ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) เปิดเผยว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคของเกาหลีใต้ปรับตัวลดลงในเดือนพฤศจิกายน 2567 เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการส่งออกที่ชะลอตัว และความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ นำโดยโดนัลด์ ทรัมป์ โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกาหลีใต้อยู่ที่ 100.7 ในเดือนพฤศจิกายน ลดลงจากระดับ 101.7 ในเดือนตุลาคม ซึ่งดัชนีที่อยู่เหนือระดับ 100 บ่งชี้ว่าผู้บริโภคที่มีมุมมองในแง่บวกมีจำนวนมากกว่าผู้ที่มีมุมมองในแง่ลบ ทั้งนี้ BOK กล่าวว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวแย่ลงในเดือนพฤศจิกายน โดยมีสาเหตุมาจากการเติบโตของการส่งออกของเกาหลีใต้ที่ชะลอตัวลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ก่อให้เกิดความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนในเกาหลีใต้กำลังอ่อนแอ
อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกัน ผลกระทบของทรัมป์ในจุดยืน "อเมริกาต้องมาก่อน" (American-First) ต่อภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในวงกว้างก็ดึงดูดความสนใจเช่นกัน เนื่องจากเขาให้คำมั่นว่าจะจัดเก็บภาษีสูงกับสินค้านำเข้าและจะดำเนินมาตรการคุ้มครองทางการค้า นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไปคาดว่า อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 2.8% ในปีหน้า ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากการคาดการณ์ในเดือนตุลาคม
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)