ข่าวในประเทศ
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
1. 'มูราตะ' ลงทุนเพิ่มในไทย สร้างโรงงานผลิต MLCC แห่งใหม่ (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567)
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ในการเยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 21-23 พฤศจิกายน 2567 ได้มีโอกาสประชุมหารือร่วมกับ บริษัท มูราตะ อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของโลก และได้ดำเนินกิจการในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ลำพูน ซึ่งจากการหารือได้ทราบว่ามูราตะประกาศลงทุนเพิ่มในนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ลำพูน โดยอาคารโรงงานผลิตแห่งใหม่นี้จะใช้ผลิตตัวเก็บประจุแบบเซรามิกหลายชั้น (Multilayer Ceramic Capacitors :MLCC) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ระดับเรือธงของมูราตะที่ใช้เพิ่มความเสถียรในอุปกรณ์เคลื่อนที่อย่างสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ยานยนต์ และดาวเทียม ซึ่งครองส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลกสูงถึง 40% ทั้งนี้ เมื่อโรงงานผลิตแห่งใหม่แล้วเสร็จ จะเสริมให้มูราตะมีฐานการผลิต MLCC ในต่างประเทศ 4 แห่ง คือ เมืองอู๋ซี ประเทศจีน, ประเทศสิงคโปร์ และประเทศไทย ส่วนอีก 2 แห่งอยู่ในเมืองฟูกูอิ และอิซูโมะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมูราตะมีการวางแผนขยายกำลังการผลิตปีละ 10% โดย 10 ปีที่ผ่านมามูราตะได้ขยายกำลังการผลิต MLCC กว่า 3 เท่า เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการเติบโตทั้งระยะกลางถึงระยะยาวที่มีความต้องการชิ้นส่วน MLCC ที่เพิ่มขึ้นตามแนวโน้มความต้องการใช้งานของสมาร์ทโฟนที่ใช้เทคโนโลยี 5G และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ย่อส่วน อุปกรณ์ IoT ที่มากขึ้น ทั้งนี้ มูราตะถือเป็นบริษัทญี่ปุ่นรายแรกที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่จังหวัดลำพูน เมื่อ 35 ปีที่แล้วและมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องจนเป็นผู้นำอุตสาหกรรมในพื้นที่ โดยมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ภาคเหนือคิดเป็น 40% ของมูลค่าการลงทุนในจังหวัดลำพูน สร้างการจ้างงานกว่า 4,000 ตำแหน่ง โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้มูราตะเลือกมาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมในภาคเหนือของไทยได้แก่ ปัจจัยด้านแรงงาน ซึ่งในพื้นที่ภาคเหนือมีค่าแรงที่ถูกกว่าพื้นที่อุตสาหกรรมหลักของประเทศ รวมทั้งไม่มีมีปัญหาในการแย่งชิงแรงงานและปัจจัยด้านการขนส่ง เนื่องจากชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีน้ำหนักเบา จึงมีต้นทุนการขนส่งต่ำและใช้การขนส่งทางอากาศได้ ซึ่งนักลงทุนญี่ปุ่นยังคงเป็นอันดับหนึ่งในการลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของไทย โดยมีบริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนสูงถึง 1,973 ราย คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 29% ของจำนวนนักลงทุน โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนญี่ปุ่นเป็นพิเศษ ได้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์และการขนส่ง อุตสาหกรรมเหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ อุตสาหกรรมเครื่องจักร อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมพลาสติกและเคมีภัณฑ์ และอุตสาหกรรมอาหารและยาง
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ กนอ. กล่าวว่า มูราตะได้ร่วมกับกนอ.ในการเปลี่ยนแปลงสภาพในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ลำพูน โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2568 และจะดำเนินการเปลี่ยนพื้นที่ให้เป็นเขตประกอบการเสรี และการขออนุญาตก่อสร้างอาคาร ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2570 ขณะเดียวกันมูราตะยังมีแผนที่จะขยายการลงทุน สร้างโรงงานขนาดใหญ่อีก 2 โรงงาน พื้นที่รวม 120,000 ตารางเมตร ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ลำพูนเพื่อผลิต MLCC โดยมีแผนจะเริ่มก่อสร้างในปี 2570
นายนภินทร ศรีสรรพางค์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
2. 'พาณิชย์' เร่งสกัดสินค้าไร้คุณภาพ (ที่มา: ไทยรัฐ, ประจำวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567)
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ SME ไทยและแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้ประชุมร่วมกับ 20 หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง พร้อมกำหนดเป้าหมายในการหยุดสินค้าไร้คุณภาพไหลเข้าประเทศ โดยพุ่งเป้าใน 3 กลุ่มสินค้า ได้แก่ สินค้าเกษตร สินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าอุตสาหกรรม โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้ระเบียบกฎหมายอย่างเข้มงวด โดยบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องด้านการตรวจสินค้า ณ ด่านศุลกากร ด้วยการเพิ่มความถี่ในการเปิดตู้สินค้าเพื่อตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้าจากต่างประเทศให้เป็นไปตามมาตรฐาน การเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบเว็บไซต์และสินค้าที่วางจำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ให้เป็นไปตามกฎหมายไทย การเพิ่มจำนวนตัวอย่างการเก็บสินค้าสำหรับตรวจสอบสารพิษตกค้างให้มากขึ้น พร้อมทั้งจัดกลุ่มสินค้าเกษตรตามความเสี่ยงของการพบสารพิษตกค้างมาตรวจสอบในห้องปฏิบัติการให้ทราบผลภายใน 24 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม มาตรการข้างต้นจะช่วยแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม ช่วยเหลือ SME ให้แข่งขันได้ และดูแลคุ้มครองผู้บริโภค ไม่ต้องเสี่ยงกับการใช้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ โดยในขณะเดียวกันจะผลักดันให้สินค้าไทยมีมาตรฐานสากล เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าไทยเป็นที่ยอมรับและได้รับความนิยมจากคนไทยและชาวต่างชาติ นำไปสู่การเพิ่มสัดส่วน SME ต่อ GDP เป็น 40% ในปี 2570
นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี
ประธานคณะที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ด้านยุทธศาสตร์
3. ร่วมผลักดันสุราชุมชนไทยสู่เวทีโลก (ที่มา: ไทยรัฐ, ประจำวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567)
นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ประธานคณะที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ด้านยุทธศาสตร์ ได้เปิดเผยในวงเสวนา "การประกวดสุดยอดเหล้าขาวครั้งแรกของโลก สร้างมาตรฐาน Flavor wheel" ซึ่ง "ไทยรัฐ" ได้ผนึกกำลังกับพันธมิตร ภาครัฐและภาคเอกชนจัดงาน "เมรัยไทยแลนด์" เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากและกระจายรายได้สู่คนตัวเล็ก เพื่อยกระดับความคราฟต์ของชุมชน ระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2567 ว่า สาเหตุที่สุราไทยยังไม่สามารถก้าวไปถึงระดับโลกได้ เพราะถูกระบบผูกขาดรัฐบาลร่วมทุนผูกขาดกดมันเอาไว้ เลยไม่โตในอดีตเราเจอปัญหาเยอะ ทำไมมีแต่เศรษฐีที่ผลิตเหล้าสีได้ ที่เหลือเลยทำได้แค่เหล้าขาว ดังนั้น ถ้าไม่ฉีกวิธีคิด อุตสาหกรรมสุราจะไม่โตตนเองเป็นผู้ร่างกฎหมายสุรารวมไทย หรือ ร่าง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต ฉบับที่...พ.ศ....ของพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อให้เกิดการพัฒนาไม่ได้ชวนมาเมา ชวนมาทำเหล้า แต่เรากำลังแปรรูปสินค้าเกษตร ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมในยุคนี้พร้อมให้การสนับสนุนคนตัวเล็ก อยากให้มองว่าคือการแปรรูปสินค้าเกษตร ยกระดับสินค้าเกษตรไปสู่ความยั่งยืน พรรครวมไทยสร้างชาติร่างกฎหมายสุรารวมไทย เพื่อให้สุราไทยมีสี มีกลิ่น สร้างอัตลักษณ์พิเศษ ซึ่งการแปรรูปช่วยเพิ่มมูลค่า จะทำงานควบคู่กับสภา เพื่อให้กฎหมายออกมาในช่วงกลางปีหน้าขอให้รอดูความเปลี่ยนแปลง และการปลดล็อกนี้จะช่วยกระจายรายได้สู่การทำเศรษฐกิจของการแบ่งปัน
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายนิติพัฒน์ แต้มไพโรจน์ กรรมการบริษัท ส้มจี๊ด เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด กล่าวว่า ถ้าอยากให้ "เหล้าขาว" ของไทยโตในระดับโลกได้ เราอาจต้องเพิ่มความพิถีพิถันในมาตรฐานของรสชาติเพราะมาตรฐานเรื่องความปลอดภัย เรามีของ มอก. หรือสรรพสามิต รับรองอยู่แล้ว พร้อมเสนอว่าต้องนำแนวทางของตลาดนานาชาติมาปรับใช้ เนื่องจากว่าถ้าเรายึดโยงหลักของสากลแล้วนำมาปรับใช้ในไทย เชื่อว่าตลาดนานาชาติน่าจะยอมรับได้ ที่ยากคือผู้ประกอบการของเราเองจะยอมรับได้หรือไม่ หลายคนอาจจะมองว่า ก็เคยทำมาแบบนี้ ทำไมจะต้องเปลี่ยน แต่เราต้องปรับสมดุลให้ได้ เราเชื่อว่าถ้าขาดการช่วยเหลือจากรัฐบาล "เหล้าขาว" คงจะไปถึงระดับโลกได้ยาก จึงอยากฝากถึงภาครัฐในการสนับสนุนการวิจัย งานวิชาการเกี่ยวกับเหล้าไทยเอาไว้ อาทิ "ถังไม้" ที่นำมาใช้ในการบ่ม "ลูกแป้ง" ที่นำมาใช้ในการหมัก ถ้าภาครัฐช่วยสนับสนุน หรือตั้งทีมวิจัยในเรื่องนี้ได้ ก็จะทำให้สตอรี่ของ "เหล้าไทย" ถูกสื่อสารออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นมีการอ้างอิงวิทยาศาสตร์ และสร้างมูลค่าในตลาดต่างประเทศได้
ข่าวต่างประเทศ
4. ญี่ปุ่นเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 3% ในเดือนต.ค. (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567)
กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้น 3% ในเดือนตุลาคม 2567 เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ส่วนเมื่อเทียบเป็นรายปี การผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นปรับตัวขึ้น 1.3% ในเดือนตุลาคม รายงานของกระทรวงระบุว่า ดัชนีการขนส่งในภาคการผลิตปรับตัวขึ้น 2.8% ในเดือนตุลาคม 2567 เมื่อเทียบเป็นรายเดือน และปรับตัวขึ้น 0.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนดัชนีสต็อกสินค้าคงคลังในภาคการผลิตปรับตัวลง 0.1% เมื่อเทียบรายเดือน และปรับตัวลง 1.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยเศรษฐกิจญี่ปุ่นส่งสัญญาณฟื้นตัว หลังจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัว 0.9% ในไตรมาส 3/2567 เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการขยายตัวติดต่อกันสองไตรมาส และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 0.7% โดยได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ตามการอุปโภคบริโภคในภาคเอกชนซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของตัวเลข GDP นั้น ปรับตัวขึ้น 0.9% ในไตรมาส 3 เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% โดยการใช้จ่ายในภาคเอกชนถือเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในไตรมาส 3
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)