ข่าวประจำวันที่ 3 ธันวาคม 2567

ข่าวในประเทศ

A person sitting at a desk writing on papers

Description automatically generated

นายณัฐพล รังสิตพล

ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

 

1. ก.อุตฯ เปิดแผนแก้ฝุ่นพิษ 3 ระยะ ชง 'บีโอไอ' เว้นภาษีเงินได้ 120% (ที่มา:มติชน, ประจำวันที่ 3 ธันวาคม 2567)

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ร่วมประชุมเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ประจำปี 2568 โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม  ณ ห้องประชุมกองพลทหารราบที่ 7 ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ โดยกระทรวงฯ มีมาตรการการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 จากการเผาอ้อยในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ระยะเร่งด่วน ได้แก่ 1. ผลักดันนโยบายการตัดอ้อยสดลดการเผาอ้อย ลดฝุ่น PM2.5 2. สนับสนุนเครื่องสางใบอ้อยให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยยืม นำไปใช้สางใบอ้อยทดแทนแรงงานคน 3. การยกเว้นอากรศุลกากรการนำเข้าสำหรับเครื่องจักรกลการเกษตร 4. การชดเชยดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยสำหรับบริหารจัดการแหล่งน้ำและซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรใช้ในไร่อ้อย 5. ดำเนินการร่วมกับบีโอไอเพื่อขอรับสิทธิและประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลไม่เกิน 120% ของเงินลงทุน กรณีโรงงานน้ำตาลลงทุนซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อสนับสนุนลดฝุ่นละออง PM2.5 จากภาคการเกษตรให้กับกลุ่มเกษตรกร และ 6. นำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อติดตามและลดการเผาอ้อย ส่วนในระยะยาว ได้แก่ 1. การกำหนดปริมาณมาตรฐานในการผลิตน้ำตาลทรายขั้นต่ำของโรงงาน 2. กำหนดปริมาณอ้อยที่ถูกลักลอบ เผาอ้อย ฤดูการผลิตปี 2567/2568 ไม่เกิน 25% 3. มาตรการช่วยเหลือชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดี เพื่อลดฝุ่น PM2.5 ฤดูการผลิตปี 2567/2568-ปี 2569/2570 และ 4. มาตรการช่วยเหลือชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM2.5 (แผน 3 ฤดูการผลิต)

อย่างไรก็ตาม กระทรวงฯ มุ่งมั่นเร่งขับเคลื่อนมาตรการที่เกี่ยวข้องและผลักดันความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการดำเนินการแก้ปัญหา PM2.5 อย่างเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อคืนอากาศที่สะอาดให้กับประชาชนและสร้างการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนและสมดุล

 

A person in a suit and tie

Description automatically generated

นายนาวา จันทรสุรคน

รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

 

2. ลุ้นเพิ่มจ.ปราจีนบุรีเข้าอีอีซี (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 3 ธันวาคม 2567)

นายนาวา จันทรสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ที่ครอบคลุมใน 3 จังหวัดคือ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง เริ่มมีพื้นที่ไม่เพียงพอกับความต้องการของนักลงทุนแล้ว จึงมีการหารือกันในส่วนงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มพื้นที่ในจังหวัดปราจีนบุรี เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอีอีซี เพื่อรองรับการลงทุนที่จะทยอยเข้ามาในปี 2568 ซึ่งคาดว่ามีความเป็นไปได้มาก เพียงแต่ต้องแก้ไขกฎหมายอีอีซี เพื่อขอขยายพื้นที่เพิ่มเติมเหมือนกับที่ขอขยายมาที่จังหวัดฉะเชิงเทรา จากเดิมที่มีพียงจังหวัดระยอง และจังหวัดชลบุรี เท่านั้น ทั้งนี้ ส.อ.ท. ได้ขอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ พยายามกำหนดเงื่อนไขการลงทุนในการใช้ชิ้นส่วนในประเทศที่ผลิตจากไทย ไม่ใช่ส่งเสริมการลงทุนโดยให้อุตสาหกรรมที่ยกโรงงานจีน คนงานจีนเข้ามา เพราะสิทธิประโยชน์คือส่วนหนึ่งของการตัดสินใจลงทุน แต่ไม่ควรมองว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะหลายอย่างไทยเหนือกว่าคู่แข่ง เช่น ค่าเช่าที่ดินไทยแพงกว่าเวียดนาม แต่โครงสร้างพื้นฐานไทยดีกว่า มีสนามบิน คมนาคมที่ดีกว่า ค่าไฟไทยแพงกว่าแต่มีความเสถียรมากกว่า โดยก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้รายงานผลการลงทุนในพื้นที่อีอีซี ของนักลงทุนต่างชาติ ช่วง 10 เดือน (มกราคม - ตุลาคม 2567) พบว่า มีจำนวน 251 ราย คิดเป็น 32% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตในปีนี้ เพิ่มขึ้น 128% มูลค่าการลงทุน 45,739 ล้านบาท คิดเป็น 28% ของเงินลงทุนทั้งหมด เพิ่มขึ้น 146% นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนอันดับ 1 คือ นักลงทุนจากญี่ปุ่น 86 ราย ลงทุน 16,184 ล้านบาท รองลงมาคือ จีน 59 ราย ลงทุน 8,030 ล้านบาท ฮ่องกง 18 ราย ลงทุน 5,219 ล้านบาท และประเทศอื่น ๆ 88 ราย ลงทุน 16,306 ล้านบาท ทั้งนี้ ส่วนใหญ่จะลงทุนในธุรกิจบริการวิศวกรรม ธุรกิจบริการออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์ ธุรกิจบริการติดตั้ง ทดสอบ ซ่อมแซม บำรุงรักษาและฝึกอบรมเกี่ยวกับเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ และระบบการทำงานต่าง ๆ ธุรกิจบริการ ระบบซอฟต์แวร์ฐาน และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า

อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ระบุว่า การให้สิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่ที่จูงใจ ผ่านวิธีการเจรจาตามข้อเสนอการลงทุนของนักลงทุนเฉพาะราย โดยมีกรอบสิทธิประโยชน์ที่สำคัญ อาทิ ด้านภาษี ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด เป็นเวลา 1-15 ปี ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลไม่เกินร้อยละ 50 เป็นเวลา 1-10 ปี สิทธิในการได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากร เป็นต้น ด้านที่ไม่ใช่ภาษี อาทิ ด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว มอบอีอีซี วีซ่า ให้แก่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหาร ผู้ชำนาญการ และบุคคลในอุปการะ ระยะเวลาสูงสุด 10 ปี รวมไปถึงการให้บริการภาครัฐครบวงจร หรือ EEC One Stop Service ซึ่งนักลงทุนสามารถรับบริการด้านอนุมัติ อนุญาต การยื่นคำขอที่เกี่ยวข้องผ่านระบบออนไลน์

 

A person in a suit and tie

Description automatically generated

นายสุภกิจ เจริญกุล

ผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและ การพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือไอทีดี

 

3. "ไอทีดี" ชงพัฒนา 4 อุตสาหกรรม (ที่มา: ไทยรัฐ, ประจำวันที่ 3 ธันวาคม 2567)

นายสุภกิจ เจริญกุล ผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือไอทีดี ภายใต้สังกัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เร็วๆ นี้ ไอทีดีจะนำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายใน 4 อุตสาหกรรม ได้แก่ ท่องเที่ยว เกษตรและอาหาร การแพทย์ และเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งที่มีศักยภาพในการสร้างงานและสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตเสนอต่อนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมทั้ง 4 โดยข้อเสนอแนะดังกล่าวเป็นผลจากการระดมสมองของผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้นำยุทธศาสตร์ด้านการค้าและการพัฒนารุ่น 1 ที่ไอทีดีจัดทำขึ้น สำหรับผลการศึกษาด้านการท่องเที่ยวนั้น เสนอให้ผลักดันการท่องเที่ยวทั่วไทย และยกระดับการท่องเที่ยวไทยสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพของนักท่องเที่ยวมากกว่าจำนวน พัฒนาเมืองสำคัญเป็นจุดหมายปลายทางใหม่เชื่อมโยงท่องเที่ยวกับอาหารคมนาคมการแพทย์ซอฟต์พาวเวอร์ไทย เช่น อาหาร ศิลปะ เทศกาลกับการท่องเที่ยว พัฒนาแอปพลิเคชัน SABUY-SABUY เชื่อมโยงข้อมูลท่องเที่ยวจากทุกหน่วยงาน ส่วนเกษตรและอาหาร เสนอให้พัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรไทยสู่การเป็นครัวของโลกและห่วงโซ่อุปทานอาหารที่ยั่งยืน เพราะมีแรงงานมากกว่า 19 ล้านคน มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเกษตร (จีดีพีภาคเกษตร) เติบโตเฉลี่ยปีละ 1.9% คิดเป็น 8.8% ในผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไทยจึงต้องรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาอยู่ภายใต้สังกัดเดียวพัฒนาระบบ Super Smart Agri Map เพื่อใช้วางแผนเชิงกลยุทธ์สำหรับเกษตรกร ผู้ประกอบการ และภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม ขณะที่อุตสาหกรรมการแพทย์เสนอให้พัฒนาไทยสู่การเป็นศูนย์กลางธุรกิจผ่าตัดเสริมความงามระดับโลก ผลักดันจัดตั้ง Thailand Aesthetic Surgery Agency (TASA) เพื่อออกใบอนุญาตให้แก่แพทย์ต่างชาติ ควบคุมมาตรฐานระบบจัดการข้อร้องเรียน จัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนการอบรมพัฒนา และช่วยให้แพทย์และศัลยแพทย์เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆผ่อนปรนนำเข้าแพทย์ต่างชาติ แก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรเฉพาะทาง สำหรับทางด้านเศรษฐกิจดิจิทัล วางเป้าหมายการเสริมสร้างขีดความสามารถการแข่งขันของเอสเอ็มอี ด้วยเทคโนโลยี Generative AI โดยการใช้เทคโนโลยี AI เสริมสร้างขีดความสามารถ ตั้งแต่วิเคราะห์ข้อมูลตลาด พฤติกรรมผู้บริโภคโอกาสทางการค้า พัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายโอกาสสู่เพื่อนบ้านและตลาดโลก โดยมีอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มนำร่อง

 

ข่าวต่างประเทศ 

A flag with a white circle in the center

Description automatically generated

 

4. ดัชนี PMI ภาคการผลิตของอินเดียชะลอตัวในเดือนพ.ย. จากแรงกดดันเงินเฟ้อ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 3 ธันวาคม 2567)

เอสแอนด์พี โกลบอล เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของอินเดีย ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 56.5 ในเดือนพฤศจิกายน จาก 57.5 ในเดือนตุลาคม ต่ำกว่าตัวเลขประมาณการเบื้องต้นที่ 57.3 ทั้งนี้ ดัชนีที่อยู่ในระดับสูงกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจอยู่ในภาวะขยายตัว ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะหดตัว ซึ่งดัชนี PMI ภาคการผลิตของอินเดียเคลื่อนไหวอยู่เหนือระดับ 50 มาเกือบสามปีครึ่งแล้ว ทั้งนี้ ในส่วนของดัชนีย่อยด้านผลผลิตและด้านคำสั่งซื้อใหม่ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดและเกือบต่ำสุดของปีนี้ตามลำดับ แม้การขยายตัวจะช้าลงจากการแข่งขันและแรงกดดันเงินเฟ้อ แต่ด้วยอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง การฟื้นตัวจึงยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ สำหรับสินค้าที่ผลิตในอินเดียได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากต่างประเทศ โดยอุปสงค์จากต่างชาติขยายตัวเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม

อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ระหว่างประเทศแข็งแกร่งในวงกว้าง สะท้อนจากยอดสั่งซื้อส่งออกใหม่ที่พุ่งสูงสุดในรอบ 4 เดือน ซึ่งช่วยหนุนให้ภาคการผลิตอินเดียเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยอุปสงค์ที่อยู่ในระดับสูงประกอบกับการขยายกำลังการผลิตส่งผลให้แนวโน้มธุรกิจในปีหน้าสดใส ดันดัชนีย่อยทะยานแตะจุดสูงสุดในรอบ 6 เดือน แต่ทั้งนี้ ภาวะเงินเฟ้อทวีความรุนแรง ทั้งต้นทุนและราคาขายปรับตัวสูงขึ้น โดยต้นทุนพุ่งแรงที่สุดนับจากเดือนกรกฎาคม ขณะที่ราคาขายทำสถิติสูงสุดในรอบ 11 ปี

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)