ข่าวประจำวันที่ 16 มกราคม 2568

ข่าวในประเทศ

A person smiling at a microphone

Description automatically generated

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

 

1. อุตฯ เข้มโรงงานแก้ฝุ่น (ที่มา: ทันหุ้น, ประจำวันที่ 16 มกราคม 2568)

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังอยู่ในช่วงการจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยปัญหาการเผาอ้อยเป็นประเด็นสำคัญที่กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญโดยเฉพาะในช่วงนี้ที่เป็นช่วงฤดู หีบอ้อย เพราะเป็นสาเหตุของ PM2.5 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการลดการเผาอ้อยด้วยให้เงินอุดหนุนเกษตรกรที่ส่งอ้อยสดให้โรงงาน ซึ่งช่วยลดการเผาอ้อยจาก 60% เหลือ 30% แต่ปัจจุบัน 30% ก็ยังมากเกินไป ดังนั้นรัฐบาลจึงพยายามหาแนวทางส่งเสริมการนำใบอ้อยไปใช้ประโยชน์ เช่น ผลิตกระแส ไฟฟ้า โดยต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่าและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมกันนี้ กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ดำเนินมาตรการตรวจโรงงานน้ำตาลอย่างเข้มงวด โดยโรงงานที่รับอ้อยเผาในสัดส่วนที่สูงมากจะถูกตรวจสอบเรื่องมลภาวะและกระบวนการผลิต โดยเฉพาะหม้อไอน้ำหากไม่ได้มาตรฐานมลพิษ ก็จะมีการสั่งปิด ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการดำเนินการปิดโรงงานไปบ้าง การดำเนินการดังกล่าวทำให้สัดส่วนการเผาอ้อยลดลงมาเหลือประมาณ 15% ในปัจจุบัน ซึ่งรัฐบาลยังคงมองหาแนวทางเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืน โดยให้ใกล้เคียง 0%

อย่างไรก็ตาม สำหรับประเด็นเรื่อง ESG ซึ่งย่อมาจาก Environment, Social, และ Governance ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน นับเป็นสิ่งที่โลกให้ความสำคัญ ซึ่งจากการไปเยือนซาอุดีอาระเบีย พบว่า ซาอุดีอาระเบียประกาศตัวดำเนินการด้านแร่ธาตุ จากเดิมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยน้ำมันและก๊าซ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าซาอุดีอาระเบีย ตระหนักถึงความสำคัญของพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องอาศัยแร่ธาตุสำคัญ ซึ่งซาอุดีอาระเบีย จึงมุ่งเน้นการทำธุรกิจแร่ธาตุอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม นอกจากนี้ ซาอุดีอาระเบียยังเชิญตัวแทนจากประเทศแอฟริกามาร่วมหารือ เพื่อสร้างความยั่งยืนในภาคธุรกิจร่วมกัน

 

A person in a suit sitting at a table

Description automatically generated

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล

ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

 

2. ส.อ.ท.ชี้เอ็นเตอร์เทนเมนต์ หนุนภาคอุตสาหกรรม-ศก. (ที่มา: ทันหุ้น, ประจำวันที่ 16 มกราคม 2568)

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า คาดเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2568 เติบโต 3% จากเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่เป็นพระเอกคือ ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งประเทศไทยถือว่าทำได้ดีและฟื้นตัวได้รวดเร็ว โดยคาดจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 39 ล้านคน ซึ่งตัวเลขเกือบใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิดที่มีนักท่องเที่ยวจำนวน 40 ล้านคน สำหรับในปีที่ผ่านมาหากพิจารณาที่ค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวอยู่ที่ระดับ 40,000 บาท ยังต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 50,000 บาท จากทั้งปัญหาเศรษฐกิจโลก รวมถึงสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนลดลงจากปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ใช้จ่ายค่อนข้างเยอะ ปีที่แล้วมีเข้ามาประเทศไทยประมาณ 6-7 ล้านคน เมื่อเทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด-19 ที่มีราว 10-11 ล้านคน ดังนั้นประเทศไทยต้องสร้างผลิตภัณฑ์ที่ครบถ้วน ในการทำให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายมากขึ้นเฉพาะนั้นสิ่งที่รัฐต้องทำ คือ ใช้ Soft Power ในการสร้างมูลค่า รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยที่มีทั้ง Sea Sand Sun Food แต่สิ่งที่ยังขาดอยู่ คือ Man-Made หรือแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างขึ้นมาใหม่ ที่จะทำให้การท่องเที่ยวมีความครบถ้วน และดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะที่เป็นกลุ่มครอบครัวมากขึ้น สำหรับ Entertainment Complex จะช่วยดึงสิ่งที่ผิดกฎหมาย หรืออยู่ใต้ดินให้ขึ้นมาบนดิน เพื่อที่รัฐบาลจะสามารถควบคุมได้ สามารถเก็บภาษีได้ ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมจะช่วยสร้างเม็ดเงินโดยตรง ที่จะเข้ามาใช้จ่ายในแต่ละอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังช่วยเรื่องหนุนราคาวัสดุก่อสร้าง รวมถึงร้านอาหาร ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยให้ GDP ประเทศไทยเติบโต

อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท. และพันธมิตรองค์กร เตรียม จัดงาน FTI EXPO 2025 ในวันที่ 12-15 กุมภาพันธ์ 2568 ภายใต้แนวคิด 4GO ทั้งดิจิทัล นวัตกรรม การขยายตลาดต่างประเทศ และการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ซึ่งรวมสุดยอดอุตสาหกรรมไทย และเป็นงานที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความก้าวหน้าของภาคอุตสาหกรรมไทย ซึ่งงานนี้จะช่วยขยายตลาดให้กับผู้ประกอบการ และคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานไม่น้อยกว่า 50,000 - 70,000 ราย สร้างโอกาสทางการค้า ในงานกว่า 1,000 ล้านบาท โดยภายในงาน นอกจากจะมีการจัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีจากผู้ประกอบการแล้วยังมีการจัดอบรมสัมมนาโดยกูรูที่มากด้วยคุณวุฒิและประสบการณ์ในด้านต่างๆ ที่จะมาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ และมุมมองที่เป็นประโยชน์กับเวทีเสวนาทางวิชาการ เพื่อเปิดมุมมองและแนวคิดให้กับผู้ประกอบการไทยได้สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อนำไปใช้พัฒนาและยกระดับมาตรฐานการทำงานของธุรกิจของตนเอง รวมถึงยังมีโซนการจับคู่ธุรกิจที่สามารถนัดพบผู้ประกอบการ ซัพพลายเออร์ เพื่อพูดคุยในรายละเอียด แลกเปลี่ยนมุมมองการทำธุรกิจไปจนถึงเกิดการเจรจาทางการค้าและความร่วมมืออื่นๆ ที่อาจจะมีขึ้นต่อไปในอนาคต

 

A person sitting in a chair holding a tablet

Description automatically generated

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์

ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

 

3. โชว์ 10 สินค้าส่งออกดาวรุ่ง (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 16 มกราคม 2568)

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค.ได้วิเคราะห์แนวโน้มการส่งออกรายสินค้า โดยพบสินค้าส่งออกที่มีแนวโน้ม ขยายตัวได้ดีในปี 2568 จำนวน 10 อันดับ ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและ 10 อันดับ ในกลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มีดังนี้ สินค้าส่งออกอุตสาหกรรมดาวรุ่งได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และชิ้นส่วน, อัญมณีและเครื่องประดับ, ผลิตภัณฑ์ยาง, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ, หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ, เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ, เครื่องส่งวิทยุ โทรเลข โทรศัพท์ โทรทัศน์, แผงสวิตช์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า, เคมีภัณฑ์ และแผงวงจรไฟฟ้า ซึ่งสินค้าส่งออกในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ขยายตัวดีส่วนใหญ่ได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยี เอไอ อุปกรณ์อัจฉริยะที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น และความต้องการของภาคการ ผลิตที่เร่งตัวก่อนการดำเนินมาตรการทางการค้า นอกจากนี้ยังมีสินค้าอุตสาหกรรมของไทยที่คาดว่า จะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นต่อการปรับโครงสร้างการผลิตของไทย เช่น ดาต้า เซ็นเตอร์ การผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เช่น แผ่นเวเฟอร์ หรือแผงวงจรยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งนี้ ในปี 2568 ไทยมีกลุ่มสินค้าที่ต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากคาดว่าจะเป็นสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ได้แก่ กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ และโซลาร์เซลล์ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ทั้งไทยและจีนส่งออกไปยังสหรัฐเหมือนกัน อีกทั้งเกินดุลการค้ากับสหรัฐสูง โดย 11 เดือนของปี 2567 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม มีมูลค่า 217,233.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 78.8% ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม สำหรับกลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรดาวรุ่งในปี 2568 เช่น ผลไม้กระป๋องและแปรรูป, อาหารสัตว์เลี้ยง, อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป, ไก่แปรรูป เป็นต้น เนื่องจากความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารที่เติบโตสอดรับการบริโภคและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ขยายตัว ขณะที่ปริมาณผลผลิตการเกษตรจะออกมากขึ้นกว่าปีก่อนหน้าและทยอยเข้าสู่ระดับปกติทำให้การแข่งขันด้านราคาสำหรับสินค้าเกษตรที่เป็นวัตถุดิบ แข่งขันรุนแรงขึ้น และการยกเลิกมาตรการระงับการส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศผู้ส่งออกสำคัญของโลก ดังนั้นไทยต้องให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเนื่องจากประเทศคู่แข่งมีผลผลิตและต้นทุนต่อไร่ที่ถูกกว่า อีกทั้งประเทศคู่ค้าบางประเทศมีมาตรการทางการค้าที่เข้มงวด โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ผู้ส่งออกของไทยต้องปรับตัวและบริหารจัดการต้นทุนเพื่อให้สามารถแข่งขันได้

 

ข่าวต่างประเทศ

A flag with a red white and blue design

Description automatically generated

 

4. ออสเตรเลียเผยอัตราว่างงานเดือนธ.ค.เพิ่มแตะ 4%, จ้างงานพุ่ง 56,300 ตำแหน่ง (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 16 มกราคม 2568)

สำนักงานสถิติแห่งชาติออสเตรเลีย (ABS) เปิดเผยรายงานว่า อัตราว่างงานปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนธันวาคม 2567 ขณะที่การจ้างงานดีดตัวขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน และทำให้เกิดความไม่แน่นอนว่าธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้าหรือไม่ โดยอัตราว่างงานเดือนธันวาคมปรับตัวขึ้นแตะระดับ 4% จาก 3.9% ในเดือนพฤศจิกายน ขณะที่ตัวเลขจ้างงานเดือนธันวาคม ปรับตัวขึ้น 56,300 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานขยับขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 67.1% จากระดับ 67.0%

อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์เดอะการ์เดียนรายงานว่า ข้อมูลการจ้างงานเป็นหนึ่งในมาตรวัดเศรษฐกิจที่ RBA ใช้ประกอบการพิจารณากำหนดอัตราดอกเบี้ย โดยหากตลาดแรงงานส่งสัญญาณอ่อนแอลง ก็อาจทำให้ RBA พิจารณาว่าเศรษฐกิจของออสเตรเลียควรได้รับการกระตุ้นผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)