ข่าวประจำวันที่ 30 มกราคม 2568

ข่าวในประเทศ

A person in a suit and tie

Description automatically generated

นายพิชัย นริพทะพันธุ์

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

 

1. “พิชัย” ถก “เจโทร-หอการค้าญี่ปุ่น” กระชับสัมพันธ์การค้า การลงทุน (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, ประจำวันที่ 30 มกราคม 2568)

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือกับนายคุโรดะ จุน (Mr. KURODA Jun) ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น ณ กรุงเทพฯ หรือ JETRO Bangkok และนายโท โคโซ (Mr. TO Kozo) ประธานหอการค้าญี่ปุ่น – กรุงเทพฯ (Japanese Chamber of Commerce, Bangkok : JCCB) เมื่อวันพุธที่ 29 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ว่า ทั้งสองฝ่ายได้หารือแนวทางการส่งเสริมเศรษฐกิจการค้าและการลงทุน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจอย่างยั่งยืนระหว่างกัน ทั้งนี้ รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์พร้อมส่งเสริมสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการจากญี่ปุ่นในการให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการลงทุน ซึ่งเศรษฐกิจของไทยภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำลังเป็นไปได้ด้วยดี เราเดินมาถูกทาง การส่งออกปี 2567 โตถึง 5.4% และเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมาโตถึง 8.7% และปี 2567 มีตัวเลขขอส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 1.13 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ทั้ง JETRO และ JCC ต่างมีส่วนสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนของไทย โดยที่ผ่านมาญี่ปุ่นถือเป็นนักลงทุนสะสมอันดับหนึ่งของไทยมาอย่างยาวนาน ท่านนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับนักลงทุนญี่ปุ่นที่เข้ามาทำการค้าในไทย อยากให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเยอะๆ ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ประสบความสำเร็จในการจัดทำ FTA กับเอฟตา และท่านนายกฯ ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดทำ FTA กับอียูให้สำเร็จภายในปีนี้ เพื่อให้นักลงทุนที่เข้ามาสามารถใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA สร้างแต้มต่อทางการค้าและการลงทุน และหลังจากนี้จะมีอีกหลายฉบับ เช่น อิสราเอล ภูฏาน ยูเออี เกาหลีใต้ แคนาดา และอังกฤษ ที่เร่งรัดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

อย่างไรก็ตาม ได้เชิญชวนให้ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ Data Center แผงวงจรพิมพ์ และ AI ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตและสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการขยายการลงทุน และขอให้ไทยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนภาคอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของญี่ปุ่น ที่จะมีการทุ่มงบประมาณมากกว่า 10 ล้านล้านเยน (2.2 ล้านล้านบาท) ในช่วง 10 ปีข้างหน้า และยังให้นโยบายกับกระทรวงพาณิชย์ ในการเร่งทำงานเชิงรุกแก้ไขปัญหาล่วงหน้า และปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งวันที่ 3-8 กุมภาพันธ์ ที่จะถึงนี้ จะเดินทางไปที่สหรัฐฯ เพื่อหารือกับฝ่ายการเมืองและภาคเอกชนของสหรัฐฯ เพื่อเจรจาเรื่องกำแพงภาษีจากนโยบายทรัมป์ที่ภาคเอกชนแสดงความกังวลอยู่ในเวลานี้

 

A person sitting in a chair

Description automatically generated

นายภาสกร ชัยรัตน์

ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)

 

2. สศอ.ชี้ปิโตรฯ-ยานยนต์ รับอานิสงส์จากนโยบาย 'ทรัมป์ 2.0' (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 30 มกราคม 2568)

นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า สศอ. ได้วิเคราะห์แนวโน้มและผลกระทบจากนโยบายสำคัญของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งมีนโยบายจะทำให้สหรัฐฯ กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง (Make American Greater Again) และ American First ที่มุ่งเน้นรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เป็นสำคัญ ทั้งนี้ ภายหลังจากสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้มีการแถลงและลงนามในนโยบายก้าวแรกหลายประเด็น โดยเมื่อพิจารณาแล้วมีประเด็นที่สำคัญและมีความเกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมของไทย อาทิ การลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) การเปลี่ยนแปลงนโยบายพลังงาน และแนวทางด้านอุตสาหกรรมอวกาศ รวมทั้งการขึ้นภาษีศุลกากร เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ทั้งนี้ ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมไทยจำเป็นต้องปรับตัวยกระดับศักยภาพการผลิตสินค้าไทยให้มีความพร้อมเข้าเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่การผลิตของสหรัฐฯ ได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง โดยประเด็นแรกที่สำคัญ ได้แก่ การจัดตั้ง "Stargate" บริษัทร่วมทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ร่วมกับโอเพ่นเอไอ (OpenAI) ซอฟต์แบงก์ (Softbank) และออราเคิล (Oracle) มูลค่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) และส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยี AI คาดว่าจะส่งผลให้เกิดอุปสงค์ต่ออุตสาหกรรม โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเซมิคอนดักเตอร์ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง นับว่าเป็นโอกาสของภาคอุตสาหกรรมไทย เนื่องจากเป็นสินค้าที่ไทยมีความชำนาญและมีการส่งออกหลักไปยังสหรัฐฯ นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยี AI ของสตาร์เกต ยังมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ส่งผลดีต่อการพัฒนาเป็น Medical Hub ของไทยอีกด้วย สำหรับประเด็นที่สำคัญถัดมา ได้แก่ การถอนตัวจากข้อตกลงปารีสและการปลดล็อกข้อจำกัดด้านการผลิตพลังงานฟอสซิล ในส่วนนี้ สศอ. มองว่า จะเป็นประโยชน์ต่อต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมไทยที่คาดว่าจะได้อานิสงส์ในทางตรง ได้แก่ อุตสาหกรรมการขุดเจาะน้ำมันและการผลิตปิโตรเลียม สำหรับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ที่น่าจะได้รับประโยชน์ ได้แก่ ปิโตรเคมี ปุ๋ยและเคมีเกษตร ปูนซีเมนต์ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ พลังงานไฟฟ้า เยื่อกระดาษและกระดาษ ขณะเดียวกันการลงนามเพิกถอนคำสั่งบริหารในประเด็นเป้าหมาย "การจำหน่ายรถยนต์ใหม่ 50% จากทั้งหมด ต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ภายในปี พ.ศ. 2573" จะเป็นโอกาสให้อุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานสันดาป (ICE) น่าจะส่งผลทางบวกต่อห่วงโซ่การผลิตในอุตสาหกรรมนี้ของไทย นอกจากนี้ สหรัฐฯ ประกาศจะเพิ่มภาษีศุลกากรสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกขึ้นเป็น 25% โดยสินค้าหลักที่สหรัฐฯ นำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก คือ รถยนต์นั่งและชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งจะเป็นโอกาสของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่จะส่งออกไปทดแทนในระยะถัดไป เช่นเดียวกันกับจีนที่สหรัฐฯ พิจารณาปรับภาษีจากเดิมเพิ่มอีก 10% และปีที่ผ่านมาสหรัฐฯ มีการนำเข้าหม้อสะสมไฟฟ้าและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบจากไทยเพิ่มขึ้นทดแทนการนำเข้าจากจีน นับเป็นโอกาสของประเทศไทยที่สหรัฐฯ จะนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้าอื่นรวมถึงไทยเพิ่มขึ้นอีก

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของไทยที่อาจจะถูกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ได้แก่ 1. เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 2. เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ  3. ผลิตภัณฑ์ยาง 4. อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด และ 5. หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบโดยภาคการผลิตไทยอาจแสวงหาช่องทางขยายฐานการตลาดใหม่เพิ่มเติม เพื่อลดความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และสร้างโอกาสทางการค้าใหม่ในตลาดโลก

 

A person in a suit and tie

Description automatically generated

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์

เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

 

3. ต่างชาติแห่ลงทุนไทยไม่หยุด (ที่มา: ไทยรัฐ, ประจำวันที่ 30 มกราคม 2568)

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนนัดแรกของปี 2568 ที่มีนายพิชัย    ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน ว่าได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุน 3 โครงการสำคัญ มูลค่ารวมกว่า 170,000 ล้านบาท โดยเป็นกิจการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลขนาดใหญ่ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ Data Hosting ของบริษัทในเครือ TikTok Pte.Ltd. ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มวิดีโอคอนเทนต์ยอดนิยม โดยจะลงทุนติดตั้ง Server และอุปกรณ์ใน Data Center ที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อใช้ในการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา มูลค่าลงทุนรวม 126,790 ล้านบาท ขณะเดียวกัน มีกิจการ AI Cloud Service ของบริษัท สยามเอไอคอร์เปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทไทยรายแรกที่ได้รับเลือกให้เป็น NVIDIA Cloud Partner (NCP) จะตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี และปทุมธานี มูลค่าลงทุน 3,250 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้อนุมัติโครงการลงทุนผลิตโพแทสเซียมคลอไรด์ ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตปุ๋ย ของบริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด จะตั้งอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี มูลค่าลงทุน 40,400 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่าง Data Center และ Cloud Service โดยบริษัทชั้นนำจากทั้งสหรัฐฯ จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และไทย รวม 16 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 240,000 ล้านบาท ในปีนี้ คาดว่าจะมีบริษัทชั้นนำระดับโลกตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และการเข้ามาลงทุนเหล่านี้จะช่วยสร้างโอกาสให้ประเทศไทยสู่การเป็น Digital Hub ของภูมิภาค

 

ข่าวต่างประเทศ

A flag with a red leaf

Description automatically generated

 

4. แบงก์ชาติแคนาดาเตือนนโยบายการค้าสหรัฐกระทบเศรษฐกิจ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 30 มกราคม 2568)

ธนาคารกลางแคนาดา (BoC) เปิดเผยว่า ได้มีการประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.0% ในการประชุมนโยบายการเงินในวันนี้ ตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยการดำเนินการดังกล่าวนับเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 6 ติดต่อกัน โดย BoC ระบุว่า เงินเฟ้อได้ปรับตัวอยู่ที่ระดับ 2% ขณะที่ยังคงมีภาวะอุปทานส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจ นอกจากนี้ BoC เตือนว่า นโยบายการค้าของสหรัฐได้สร้างความไม่แน่นอน ซึ่งจะเป็นปัจจัยทดสอบเศรษฐกิจแคนาดา ซึ่ง BoC จะจับตาพัฒนาการดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และจะประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และนโยบายการเงินของแคนาดา

อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งทางการค้าที่ยืดเยื้อกับทางสหรัฐจะทำให้ GDP อ่อนแอลง และราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นในแคนาดา ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมเดินหน้าเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 นี้                    

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)