ข่าวในประเทศ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล
ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
1. กกร. ชงรัฐจัด 6 มาตรการ รับมือผลกระทบจากสงครามการค้า (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568)
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า กกร. ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ไว้ 2.4-2.9% มูลค่าการส่งออกขยายตัว 1.5-2.5% และอัตราเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้น 0.8-1.2% โดยที่ประชุมประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวจำกัดการกีดกันทางการค้าที่รุนแรงและทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องเป็นความท้าทายต่อการส่งออก ส่วนภาคอุตสาหกรรมบางสาขาเผชิญการแข่งขันจากสินค้าต่างชาติ ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังอ่อนแอจำเป็นอย่างยิ่งในการวางแนวทางเพื่อลดผลกระทบทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว โดยใช้ประโยชน์จากกระแสการแยกขั้วของ Supply Chain ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งในปีที่ผ่านมาการขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 1.14 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี นอกจากนี้ยังต้องเร่งทำข้อตกลงทางการค้าเพิ่มเติมจาก FTA ไทย-EFTA ที่เพิ่งสำเร็จ เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมกันนี้ได้หารือแนวทางการเตรียมความพร้อมรับมือกับผลกระทบจากนโยบายสหรัฐฯ โดยเฉพาะมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าที่สหรัฐฯที่จะประกาศบังคับใช้กับเม็กซิโก แคนาดา และจีนแล้ว ซึ่งประเทศคู่กรณีได้ส่งสัญญาณตอบโต้ด้วยมาตรการทางภาษีและมาตรการทางการค้ากลับสหรัฐฯ ทำให้การค้าโลกได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ดังกล่าวขณะเดียวกันสินค้าจีนที่ไม่สามารถส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯอาจจะไหลทะลักกลับมาที่ประเทศไทยและประเทศคู่ค้าของไทย ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม กกร.จึงเสนอแนวทางเตรียมความพร้อมรับมือทั้งผลกระทบจากทางตรงและทางอ้อม ดังนี้ 1. การเจรจาระดับรัฐเพื่อป้องกันและบรรเทาการใช้มาตรการทางการค้าจากสหรัฐฯ 2. การสนับสนุนในด้านกฎหมายกฎระเบียบการค้า เพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ 3. การบูรณาการเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมภายในประเทศและการปฏิรูปกฎหมายเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน 4. การใช้มาตรการทางการค้าเพิ่มเติม นอกเหนือจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping :AD) ปรับลดระยะเวลาการไต่สวนการใช้มาตรการทางการค้า เป็นต้น 5. การควบคุมการตั้งหรือขยายโรงงาน รวมทั้งการให้การส่งเสริมในอุตสาหกรรมที่มีกำลังการผลิตเกินความต้องการ (Over Capacity) รวมถึงการกำกับดูแลภาคอุตสาหกรรมในเขต Freezone อย่างเข้มงวด และ 6. การส่งเสริมสินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือสินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand (MIT) ทั้งการเพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การส่งเสริมขยายตลาดภาคเอกชน รวมทั้งการกำหนดเงื่อนไข การใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศในโครงการรัฐ
หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่
รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
2. ภาคเอกชนแนะรัฐบาล ปรับภาษีนำเข้าส่วน VAT รอก่อน (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568)
หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 43 ในเดือนมกราคม 2568 ภายใต้หัวข้อ "ความเห็นต่อนโยบายการปฏิรูปภาษีไทย" พบว่า ผู้บริหารกิจการที่เป็นสมาชิกของ ส.อ.ท. ส่วนใหญ่เห็นด้วยหากภาครัฐดำเนินการปรับโครงสร้างภาษีนำเข้าก่อนเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตในประเทศ และเตรียมความพร้อมรับมือผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากสงครามการค้าที่คาดว่าจะมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ขณะที่การปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในช่วงเวลานี้ ส่วนใหญ่ยังไม่เห็นด้วย ทั้งนี้ จากผลสำรวจยังพบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันเป็นปัจจัยหลักที่ควรต้องนำมาประกอบการพิจารณาดำเนินนโยบายปฏิรูปภาษี โดยเฉพาะการที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Complete Aged Society) และกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ทำให้สินค้าส่งออกไทยตามเทรนด์เทคโนโลยีโลกไม่ทัน ส่งผลทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนไปจากเดิม การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะเดียวกันแนวทางการปฏิรูปภาษีควรดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป มีแผนและกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนให้ภาคธุรกิจปรับตัว ตลอดจนออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราภาษีแก่ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่า การปรับภาษีเงินได้นิติบุคคลตาม Global Minimum Tax ในอัตรา 15% ที่มีผลไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 นั้นอาจทำให้ภาครัฐไม่สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนได้ดังเดิม ดังนั้น ภาครัฐต้องคำนึงถึงความสามารถในการแข่งขันด้านการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศด้วย เช่น ต้นทุนวัตถุดิบ โลจิสติกส์ ฯลฯ พร้อมทั้งเตรียมปรับปรุงกฎระเบียบและเงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุนให้สอดคล้องเหมาะสม และมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม (Rule of law กฎหมายสิทธิบัตร ลิขสิทธิ์) ตลอดจนพัฒนาคุณภาพการศึกษา และส่งเสริมแรงงานทักษะสูงรองรับเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ๆ ที่มีมูลค่าสูง
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
3. บีโอไอหนุน Jurassic World ปั้นแลนด์มาร์คกระตุ้นท่องเที่ยวไทย (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568)
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการซึ่งได้รับมอบอำนาจจากบอร์ดบีโอไอได้อนุมัติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนโครงการสร้างแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ "Jurassic World: The Experience" ของบริษัท แอสเสท เวิรด์ แอทแทรคชั่น แอนด์ รีเทล จำกัด บริษัทในเครือของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจรโดยโครงการนี้มีมูลค่าการลงทุนกว่า 1,200 ล้านบาท บนพื้นที่ 4,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในโครงการ เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยบริษัทจะพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวดังกล่าวให้เป็นแลนด์มาร์คใหม่ของกรุงเทพฯ และประเทศไทย ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวถือเป็นการลงทุนสร้างศูนย์กลางการท่องเที่ยวและความบันเทิงระดับโลกโดยบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของไทย ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากแฟรนไชส์ภาพยนตร์ชื่อดัง "Jurassic World" จาก Universal Pictures และ Amblin Entertainment ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการสร้างไดโนเสาร์แอนิมาทรอนิกส์ที่มีการเคลื่อนไหวเสมือนจริง โดยใช้นวัตกรรมการออกแบบ 3 มิติ และใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ควบคุมการเคลื่อนไหว เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ที่สมจริงมากที่สุด ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะแฟนคลับคนรักไดโนเสาร์ที่มีอยู่ทั่วโลก โดยโครงการนี้ถือเป็นประสบการณ์ความบันเทิงรูปแบบอิมเมอร์ซีฟที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก และเป็นแห่งแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อย่างไรก็ตาม ภาคการท่องเที่ยว ถือเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนำเงินเข้าสู่ประเทศไทย โดยปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยมากกว่า 35 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 1.67 ล้านล้านบาท ในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นฮับการท่องเที่ยวของภูมิภาค เราจำเป็นต้องเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวให้พร้อม ทั้งด้านบุคลากร คุณภาพของการบริการ โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล การจัดกิจกรรมนานาชาติหรืออีเว้นท์ขนาดใหญ่ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ รวมทั้งการสร้าง แหล่งท่องเที่ยวแบบ Man-made ที่จะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของประเทศ
ข่าวต่างประเทศ
4. เกาหลีใต้เกินดุลบัญชีเดินสะพัดทำนิวไฮในธ.ค., ยอดรวมทั้งปี 67 พุ่ง 3 เท่า (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568)
ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) เปิดเผยว่า เกาหลีใต้ยังคงเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ในเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยได้แรงหนุนหลักจากการส่งออกที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และยอดเกินดุลการค้าที่เพิ่มมากขึ้น โดยข้อมูลจาก BOK ระบุว่า ยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน ซึ่งอยู่ที่ 1.005 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 1.237 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนธันวาคม ถือเป็นสถิติสูงสุดใหม่สำหรับเดือนธันวาคม ทั้งนี้ สำนักข่าวยอนฮับรายงานว่า เกาหลีใต้สามารถรักษายอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดได้อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม เป็นต้นมา สำหรับภาพรวมตลอดทั้งปี 2567 เกาหลีใต้มียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดรวมทั้งสิ้น 9.904 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง สูงกว่าที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเกินดุลที่ 9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งข้อมูลยังชี้ว่า ยอดเกินดุลตลอดทั้งปี 2567 เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 3.282 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในส่วนของดุลการค้าสินค้า เดือนธันวาคม มียอดเกินดุลอยู่ที่ 1.043 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นการเกินดุลเป็นเดือนที่ 21 ติดต่อกัน
อย่างไรก็ตาม สำหรับปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ดุลการค้าสินค้าเกินดุล คือ การส่งออกที่ขยายตัว 6.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แตะระดับ 6.138 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดขายเซมิคอนดักเตอร์ที่เติบโตอย่างโดดเด่น ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น 3.3% อยู่ที่ 5.489 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)