ข่าวในประเทศ
นายภาสกร ชัยรัตน์
ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)
1. สศอ. แนะผู้ประกอบการปรับตัวพัฒนาผลิตภัณฑ์ยกระดับการแข่งขัน (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568)
นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ในปี 2568 อุตสาหกรรมเด่นที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ประกอบด้วย อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 โครงการ Easy E-Receipt 2.0 รวมถึงการท่องเที่ยวที่โตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกระแส Soft Power คาดว่าจะทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียน เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไม่น้อยกว่าแสนล้านบาท ช่วยกระตุ้นธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกในประเทศ ประกอบกับผู้บริโภคปัจจุบันมุ่งเน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันส่งผลให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาหารอนาคต ทั้งอาหารทางการแพทย์ อาหารที่มีคุณสมบัติเฉพาะรายบุคคลในกลุ่มผู้สูงอายุและ ผู้ควบคุมน้ำหนักมีความต้องการเพิ่มขึ้น ตลอดจนประเทศไทยยังเป็นเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกหลายรายการ เช่น ไก่แปรรูป ปลาทูน่ากระป๋อง และ อาหารสัตว์สำเร็จรูป ช่วยให้การผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย สำหรับอุตสาหกรรมต่อเนื่องในห่วงโซ่การผลิตทั้งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับอานิสงส์จากการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องและธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่งเน้นการจัดส่งสินค้าหรือการให้บริการ Delivery ที่ขยายตัวตามธุรกิจ E-Commerce เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น ต่อเนื่องไปถึงอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์หลากหลายรูปแบบเช่น พลาสติก กระดาษ และโลหะที่จำเป็นต้องใช้ในกระบวนการผลิตนับตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ นอกจากนี้ พบว่าการผลิตเครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้าและตู้เย็นยังคงมีแนวโน้มขยายตัวตามการเติบโตของสังคมเมือง สะท้อนจากการจำหน่ายในประเทศและมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับประเทศไทยได้แต้มต่อจากการเป็นฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติเกาหลีและญี่ปุ่น ซึ่งมาตรฐานของสินค้าได้รับการยอมรับระดับโลก ด้านอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) ได้แรงหนุนจากการค้าผ่านช่องทาง Social Commerce และการทำธุรกรรมการเงินออนไลน์ผ่าน Digital Wallet ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ควบคู่ไปกับการก้าวหน้าของเศรษฐกิจดิจิทัลที่จำเป็นต้องนำเทคโนโลยี Cloud Computing เข้ามาใช้ประมวลผล จัดเก็บ และบริหารข้อมูล สะท้อนได้จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เผยยอดมูลค่าการลงทุนอุตสาหกรรมดิจิทัลในปีที่ผ่านมาสูงถึง 2.4 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุน ในกิจการ Data Center และ Cloud Service ทำให้การผลิตฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ (HDD) เพิ่มขึ้นตามไปด้วยเพราะเซิร์ฟเวอร์กว่า 75% ต้องใช้ HDD ในการเก็บข้อมูลปริมาณมาก รวมถึง 80% HDD ทั้งโลกผลิตในไทย ขณะที่อุตสาหกรรมรถยนต์สันดาป (ICE) วัสดุก่อสร้าง และเฟอร์นิเจอร์ ต้องเร่งปรับตัวจากปัจจัยเชิงลบของหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้กำลังซื้อลดลง รวมทั้งสถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ บั่นทอนให้การผลิตรองรับการบริโภคชะลอตัว ขณะเดียวกันผลกระทบจากสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่ทะลักเข้าไทยยังคงเป็นปัจจัยกดดันที่ภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญ
อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 อุตสาหกรรมดาวเด่นได้รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและบรรยากาศการค้าโลก ขณะที่บางอุตสาหกรรมต้องปรับตัว เนื่องจากเผชิญกับความท้าทายต่อการปรับตัวให้ทันต่อเทรนด์โลกและการแข่งขันที่สูงขึ้น เพื่อรักษาขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก ผู้ประกอบการควรปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยยกระดับผลิตภาพการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นและการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อทดแทนการนำเข้าและก้าวทันการเปลี่ยนแปลงในตลาดโลก
นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ
อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์
2. พาณิชย์รุกสหรัฐขยายตลาดส่งออกสินค้าอาหาร (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568)
นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการนำคณะผู้บริหารเดินทางเยือนนครชิคาโก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 3-5 กุมภาพันธ์ 2568 ว่า ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย ได้มีการสานความสัมพันธ์ทางการค้ากับผู้นำเข้าสินค้าอาหาร และหารือแนวทางความร่วมมือในการขยายสัดส่วนการนำเข้าสินค้าจากไทย การจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดสินค้าไทย การประชาสัมพันธ์ตราสัญลักษณ์ Thai SELECT และการหารือประเด็นการค้าต่างๆ ที่ผู้นำเข้าต้องการให้กระทรวงพาณิชย์ให้ความช่วยเหลือ โดยผลการหารือกับบริษัท Truong Enterprises Inc. ซึ่งเป็นผู้นำเข้าและค้าส่งสินค้าอาหารเอเชีย ผัก ผลไม้สด อาหารทะเลแช่แข็ง กลุ่มลูกค้าเป็นห้าง ซูเปอร์มาร์เก็ต Main Stream และเอเชีย จำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์สินค้าของตนเอง และแบรนด์ของผู้ผลิต นำเข้าจากไทยปีละประมาณ 5.5 ล้านเหรียญ สหรัฐ ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ ซอสปรุงรส เส้นผัดไทย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำมะพร้าว ชุดเครื่องแกง/ต้มยำ/ต้มข่า พร้อมรับประทาน โดยบริษัทสนใจติดต่อกับผู้ผลิตไทย เพื่อนำเข้าสินค้าตัวใหม่ ได้แก่ ปลาแช่แข็ง ขนมไหว้พระจันทร์ และสนใจการจดทะเบียนตราสัญลักษณ์ Thai SELECT บนผลิตภัณฑ์ชุดเครื่องแกงพร้อมรับประทานซึ่งผลิตและนำเข้าจากไทย ภายใต้แบรนด์ของตนเอง (MULAN) รวมทั้งแจ้งว่า มีแผนที่จะนำคณะผู้ซื้อจากห้างซุปเปอร์มาร์เก็ต รายสำคัญๆ ในนครชิคาโกและในเขตมิดเวสต์ ไปเยือนงานแสดงสินค้า THAIFEX-Asia Anuga 2025 ในเดือนพฤษภาคมปีนี้ สำหรับการหารือกับบริษัท Chicago Oriental Wholesale Market (COWM) ซึ่งเป็นผู้นำเข้าและค้าส่งสินค้าอาหารเอเชีย เนื้อ ผัก ผลไม้ และสินค้าเกือบทุกชนิดที่ใช้ในภัตตาคาร ร้านอาหาร กลุ่มลูกค้า เป็นธุรกิจบริการอาหาร (Food Service) มีทั้งร้านอาหารไทย จีน เวียดนาม ญี่ปุ่น อินเดีย กาสิโน ร้านค้าปลีกในชิคาโก และเมืองต่างๆ และรัฐใกล้เคียง อาทิ Wisconsin, Michigan และ Indiana โดยสินค้านำเข้าจากไทย ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ วุ้นเส้น ซอสตราเด็กสมบูรณ์ กะทิ ขนมทองม้วนทำจากข้าว มูลค่าการนำเข้าประมาณ 5 ล้านเหรียญบริษัทแจ้งว่ามีแผนขยายกลุ่มลูกค้าร้านอาหารไทยมากขึ้นด้วยการเสนอสินค้านำเข้าจากไทยที่หลากหลายและสนใจเดินทางไปเยือนงาน THAIFEX-Asia Anuga 2025
อย่างไรก็ตาม กรมฯ ยังได้ใช้โอกาสนี้มอบนโยบายให้กับทูตพาณิชย์ และเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ที่ชิคาโก และประชุมร่วมกับทีมประเทศไทย โดยนางนาฎนภางค์ ดำรงสุนทรชัย รองกงสุลใหญ่ รักษาราชการแทนกงสุลใหญ่ และนางสาวอโนมา วงษ์ใหญ่ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานชิคาโก โดยได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ติดตามผลกระทบจากนโยบาย ทรัมป์ 2.0 ต่อการส่งออกสินค้าไทยอย่างใกล้ชิด และรายงานความคืบหน้าต่อเนื่อง และสอบถามสถานการณ์กับผู้นำเข้าอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งเข้าพบกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อสร้างและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าต่อเนื่อง นอกจากนี้ ให้เพิ่มช่องทางการขยายตลาดสินค้าไทยใหม่ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ โซเชียลมีเดีย การทำงานร่วมกับพาณิชย์จังหวัดในการช่วยขยายตลาดให้กับสินค้าชุมชนและ SME
นายจุฬา สุขมานพ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี
3. สกพอ.ดึงบริษัทดิจิทัลจีนลงทุนในอีอีซี (ที่มา: ไทยรัฐ, ประจำวันที่ 10กุมภาพันธ์ 2568)
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี เปิดเผยว่า สกพอ. ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการส่งเสริมด้านการลงทุนสาขาเศรษฐกิจดิจิทัลกับนายหวัง เหวินเทา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สาธารณรัฐประชาชนจีน ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมายด้านดิจิทัล ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ตลอดจนยกระดับมาตรฐานด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของทั้งสองฝ่ายและเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาระบบการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพ ระบบโลจิสติกส์อัจฉริยะ คลังสินค้าอัจฉริยะ การแสดงสินค้าทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ อินเตอร์เน็ตของสรรพสิ่ง(Internet of Things หรือ IoT)
อย่างไรก็ตาม สำหรับความร่วมมือที่เกิดขึ้น จะมีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันจากสองฝ่ายเพื่อขับเคลื่อนโดยเน้นให้เกิดความร่วมมือด้านดิจิทัล ในพื้นที่เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มองว่าจะสร้างความร่วมมือ ได้แก่ กลุ่มดิจิทัล โดยเฉพาะด้านดาต้า เซ็นเตอร์ ดิจิทัล แพลตฟอร์ม, การสื่อสารสมัยใหม่ผ่านระบบดาวเทียม โดยบริษัทที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการลงนามครั้งนี้ ได้แก่ Tencent, TikTok, Zhejiang University เป็นต้น ทั้งนี้ ในช่วงปี 2561 - พฤศจิกายน 2567 ธุรกิจจีนลงทุนสูงในพื้นที่อีอีซี 289,951 ล้านบาท
ข่าวต่างประเทศ
4. ญี่ปุ่นเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 29.26 ล้านล้านเยน ในปี 2567 (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568)
กระทรวงการคลังญี่ปุ่น เปิดเผยข้อมูลว่า ญี่ปุ่นมียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 29.26 ล้านล้านเยน (1.93 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2567 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้รับแรงหนุนจากผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างประเทศซึ่งสูงสุดเท่าที่เคยมีมา ขณะที่เงินเยนอ่อนค่าและยอดขาดดุลการค้าลดลง โดยในรายงานระบุว่า รายได้ปฐมภูมิ (Primary Income) ซึ่งสะท้อนรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศ อยู่ที่ 40.21 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น 11.3% จากปีก่อนหน้า ทั้งนี้ ด้านการค้าสินค้า (Goods Trade) ขาดดุล 3.90 ล้านล้านเยน ลดลง 40% โดยยอดส่งออกเพิ่มขึ้น 4.5% แตะระดับ 104.87 ล้านล้านเยน และยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 1.8% แตะระดับ 108.77 ล้านล้านเยน ซึ่งเมื่อนับเฉพาะเดือนธันวาคม 2567 ญี่ปุ่น มียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 1.08 ล้านล้านเยน
อย่างไรก็ตาม ทางด้านสำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นดัชนีชี้วัดที่ครอบคลุมการค้าระหว่างประเทศมากที่สุดตัวหนึ่ง
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)