ข่าวประจำวันที่ 5 มีนาคม 2568

ข่าวในประเทศ

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

 

1. 'ไทย-ญี่ปุ่น' ร่วมมือฝ่าวิกฤตประกาศนโยบาย Japan First (ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, ประจำวันที่ 5 มีนาคม 2568)

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยในงานสัมมนา Strengthening Thailand-Japan Cooperations on the Face of Renewed Trade Tensions หัวข้อ Thailand's Industrial Policy : Through Renewed Trade Tensions จัดโดย ธนาคารกสิกรไทย ว่า ในปี 2568 รัฐบาล จะทำให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่ที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับนักลงทุนญี่ปุ่น ด้วยนโยบาย Japan First เพื่อให้อุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยังคงอยู่ในไทยและผลักดันให้เป็นฮับของภูมิภาค ผ่านมาตรการลดภาษี สำหรับรถยนต์ไฮบริด การส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดเพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศ การให้สิทธิประโยชน์ การปราบปรามธุรกิจที่ผิดกฎหมายเพื่อไม่ให้กระทบต่ออุตสาหกรรมโดยรวมทั้งหมด การจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ และการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นมา โดยในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาค ตะวันออก (EEC) เราเตรียมทุกอย่างไว้ให้ครบแล้ว และเร็วๆ นี้จะมีการขยายพื้นที่เพื่อรองรับนักลงทุนให้มากขึ้น ทั้งในส่วนของนิคมอุตสาหกรรม เขตส่งเสริม พิเศษ เราจะใช้จ่ายงบประมาณให้มากขึ้นเพื่อลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ตอนนี้อยู่ระหว่างการฟื้นฟูเศรษฐกิจ สิ่งสำคัญ คือ เราต้องรักษาและปกป้องอุตสาหกรรมยานยนต์ไว้ เพราะมันช่วยซัพพลายเชนของไทยจำนวนมาก ที่ผ่านมาได้มีการหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อให้ช่วยดูการกระตุ้นตลาดเพื่อให้ยอดขายรถกลับมา เช่น การช่วยในส่วนของเงินดาวน์รถ การชะลอการใช้น้ำมันมาตรฐานยูโร 6 การมีมาตรการสำหรับ Eco Car กระบะ เป็นต้น ทั้งนี้ ทางด้านนายมาซาโตะ โอตากะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย กล่าวว่า ไทยและญี่ปุ่นจะต้องโตไปด้วยกันด้วยการเป็นพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็นรถสันดาป หรือรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และไฮบริด ซึ่งไทยยังคงเป็นตลาดที่จะเติบโต การจับมือเพื่อสร้างการแข่งขันในระดับโลกระหว่างไทยกับญี่ปุ่น จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำ ทั้งการเพิ่มคุณภาพสินค้า หาตลาดที่เหมาะสม ขณะที่การให้การส่งเสริมจากรัฐ คือเรื่องที่สำคัญมากเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายพิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ประเมินว่า บริษัทญี่ปุ่นยังคงมีศักยภาพในการขยายการลงทุนและสร้างการเติบโตในไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นลงทุนสะสมในไทยมูลค่ากว่า 4 ล้านล้านบาท คิดเป็น 40% ของการลงทุนโดยตรง (FDI) และมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับภูมิภาคโดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์

 

นางอารดา เฟื่องทอง

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

 

2. คต.ชวนผู้ส่งออกใช้สิทธิ GSP สร้างแต้มต่อการแข่งขันในตลาดโลก (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 5 มีนาคม 2568)

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) เปิดเผยสถิติการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร เป็นการทั่วไปหรือ GSP ปี 2567 ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 3,565 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 0.12 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 53.60% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของสินค้าที่ได้รับสิทธิฯ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 3.96% สำหรับประเทศปลายทางที่ไทยมีการส่งออกไปมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งยังคงเป็นสหรัฐฯ โดยมีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 3,242.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 56.29% ของสินค้าที่ได้รับสิทธิฯ และมีสินค้าที่ใช้สิทธิ GSP มูลค่าสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ หีบเดินทางขนาดใหญ่และกระเป๋าใส่เสื้อผ้า อาหารปรุงแต่ง ถุงมือยาง และกรดมะนาวหรือกรดซิทริก ถึงแม้ว่าขณะนี้สหรัฐฯ จะอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการต่ออายุโครงการ GSP ที่หมดอายุลงตั้งแต่สิ้นปี 2563 ทำให้ปัจจุบันเป็นการขอสงวนสิทธิ GSP เพื่อขอคืนภาษีที่ชำระไว้หากโครงการฯ ได้รับการต่ออายุย้อนหลังส่งผลให้มูลค่าการใช้สิทธิ GSP ของสหรัฐฯ ในปี 2567 ไม่ได้ลดลงแต่กลับเพิ่มขึ้น 4.49% เมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยได้รับสิทธิ GSP จาก 4 ประเทศ/กลุ่มประเทศ นอกจากสหรัฐฯ แล้วผู้ส่งออกไทยสามารถใช้สิทธิ GSP เพื่อส่งออกไปยังสวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ และกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) ซึ่งประกอบด้วย ยูเครนอาเซอร์ไบจาน ทาจิกิสถาน มอลโดวา อุซเบกิสถานจอร์เจีย และเติร์กเมนิสถาน อีกด้วย โดยสำหรับโครงการ GSP ของสวิตเซอร์แลนด์ ในปี 2567 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ เป็นอันดับสอง อยู่ที่ 305.01 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับสาม โครงการ GSP ของนอร์เวย์ มูลค่า 13.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอันดับสุดท้ายเป็นโครงการ GSP ของกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) มูลค่า 3.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง อาทิ สายนาฬิกาทำด้วยโลหะสามัญ (สวิตเซอร์แลนด์) ข้าวโพดหวานปรุงแต่ง (นอร์เวย์) และสับปะรดกระป๋อง (CIS) เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม กรมฯ ขอเชิญชวนให้ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกไทยใช้สิทธิพิเศษ GSP เพราะจะทำให้มีแต้มต่อทางการค้า โดยเฉพาะโครงการ GSP ของสหรัฐฯ ที่หากใช้สิทธิ GSP สินค้าจะได้รับยกเว้นภาษีนำเข้าตลาดสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้สินค้าไทยได้เปรียบในการแข่งขันด้านราคากับสินค้านำเข้าจากประเทศอื่นๆ มากขึ้น

 

A person sitting at a desk

AI-generated content may be incorrect.

นายชัยชาญ เจริญสุข

ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.)

 

3. สรท.ชี้ส่งออกโตกระจุก 13% แค่ภาพลวงตา-ปัจจัยลบรออยู่เพียบ (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 5 มีนาคม 2568)

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า เดือนมกราคม 2568 การส่งออกมีมูลค่า 25,277.0 ขยายตัว 13.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 862,367 ล้านบาท ขยายตัว 11.8% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในเดือนมกราคมขยาย 11.4%) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 27,157.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 7.9% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 938,112 ล้านบาท ขยายตัว 6.3% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนมกราคม 2568 ขาดดุลเท่ากับ 1,880.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาดดุลในรูปของ เงินบาท 75,746 ล้านบาท ทั้งนี้ สรท. คาดการณ์ส่งออกปี 2568 เติบโตที่ 1-3% (ณ มีนาคม 2568) โดยมีปัจจัยเสี่ยง และความผันผวนเสมือนระเบิดเวลาที่จะส่งผลกระทบ ต่อการส่งออกของไทย ในประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1. การส่งเสริมการลงทุนในประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้น ดุลการค้าเพิ่ม แต่สัดส่วนการใช้ Local Content น้อย ประกอบกับมีความเสี่ยงที่จะถูกสหรัฐฯ ใช้มาตรการทางภาษีกดดันจากการส่งออกกลุ่มสินค้าดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นจนเกินดุลการค้า ผลกระทบจึงตกไปยังผู้ประกอบการในประเทศทั้งต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 2. สินค้าจีนทะลัก ขาดระบบควบคุม (Overcapacity) จากมาตรการทางภาษี ของสหรัฐฯ เพื่อกีดกันสินค้าและลดการเกินดุลการค้ากับจีน ส่งผลให้สินค้าจำนวนมากที่ไม่ได้ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ถูกกระจายมายังภูมิภาคอาเซียนรวมถึงไทยเป็นแหล่งรองรับสินค้า ส่งผลให้ SME ไทยแข่งขันด้านราคาไม่ได้และอาจต้องปิดกิจการ รวมถึงทำให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมากขึ้น 3. Soft Loan เข้าถึงยาก ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่องและไม่สามารถยกระดับ พัฒนาอุตสาหกรรมให้ทันกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลง ทำให้การลงทุนและการเติบโตในทางธุรกิจทำได้ช้า 4. การผลิตสินค้าล้าสมัย รับจ้างผลิต ขาดเอกลักษณ์ของตนเอง อุตสาหกรรมของไทยยังพึ่งพาการผลิตสินค้ารูปแบบ รับจ้างผลิต (OEM) ขาดงบประมาณสนับสนุนด้าน R&D ส่งเสริมการสร้างแบรนด์อัตลักษณ์ของคนไทยอย่างจริงจัง ทำให้มีความเสี่ยงสูงจากการพึ่งพารูปแบบ OEM มากเกินไป 5. Skill labour ไม่ปรับตัว ไทยยังขาดแรงงานที่มีฝีมือในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้ไทยเสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ประกอบกับแรงงานขาดแรงจูงใจ ในการเรียนรู้เทคโนโลยีและทักษะดิจิทัล ทำให้ปรับตัวไม่ทันสำหรับการเปลี่ยนแปลง ทักษะไม่ตรงกับความต้องการภาคการผลิต และ 6. ขาด SINGLE POLICY อุตสาหกรรมไทยและภาคการผลิตขาดทิศทางที่ชัดเจนในการขับเคลื่อน ทำให้ขาดประสิทธิภาพแม้มีแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจมากมาย เช่น Thailand 4.0, BCG Economy และ EEC แต่ไม่มีนโยบายที่เป็นแกนหลัก (Pivot policy) ที่ทุกภาคส่วนต้องปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบ

อย่างไรก็ตาม สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย มีข้อเสนอแนะที่สำคัญ ดังนี้ 1. ผู้ส่งออกไทยที่ทำการค้า กับสหรัฐฯ ควรมีแผนรองรับความเสี่ยง (Derisking) อาทิ 1.1 มองหาตลาดอื่นทดแทนเพื่อกระจายสินค้า และ 1.2 หารือผู้นำเข้า/ทูตพาณิชย์ อย่างต่อเนื่อง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเตรียมการรับมือร่วมกัน และ 2. เร่งใช้ประโยชน์จากกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มีอยู่และใช้ประโยชน์จากความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ที่มีอยู่ให้เต็มที่ เช่น กรอบ RCEP รวมถึงเร่งเจรจา FTA Thai-EU และ ASEAN-Canada ให้บรรลุผลโดยเร็ว

 

ข่าวต่างประเทศ

A flag with a red white and blue design

AI-generated content may be incorrect.

 

4. เศรษฐกิจออสเตรเลีย Q4/67 ขยายตัว 1.3% สูงกว่าคาดการณ์ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 5 มีนาคม 2568)

สำนักงานสถิติออสเตรเลีย เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4/2567 เพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 0.5% และขยายตัวเร็วขึ้นจาก 0.3% ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่เมื่อเทียบรายปี GDP เติบโต 1.3% สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.2% และสูงกว่าอัตราขยายตัวที่ 0.8% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการเติบโตของเศรษฐกิจออสเตรเลียได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง รวมทั้งการค้าที่ฟื้นตัวขึ้นหลังจากร่วงลงในไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะการส่งออกบริการที่แข็งแกร่ง ขณะที่การส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ยังคงถูกกดดันจากอุปสงค์ที่อ่อนแอของจีน

อย่างไรก็ตาม มีการคาดหมายกันไว้อยู่ก่อนแล้วว่า GDP ไตรมาส 4 จะออกมาแข็งแกร่ง หลังจากที่ข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการออกมาในทิศทางบวกอย่างต่อเนื่อง

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำด (มหาชน)