ข่าวในประเทศ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล
ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
1. กกร. ผวาสหรัฐรีดภาษีทุบส่งออก (ที่มา: ข่าวสด, ประจำวันที่ 6 มีนาคม 2568)
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณอ่อนแรงลง สะท้อนผ่านจีดีพีไตรมาส 4/2567 ที่ขยายตัวเพียง 3.2% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ราว 4.0% ส่งผลให้ทั้งปี 2567 จีดีพีขยายตัวเพียง 2.5% ต่ำกว่าระดับศักยภาพ ส่วนปี 2568 เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงสูง สำนักวิจัยในต่างประเทศปรับลดประมาณการจีดีพีไทยลงเหลือ 2.6% จากเดิมอยู่ที่ 2.7% ขณะที่ กกร.คาดว่าจะอยู่ที่ 2.4-2.9% ส่งออกคาดอยู่ที่ 1.5-2.5% และเงินเฟ้อคาดอยู่ที่ 0.8-1.2% ท่ามกลางความเสี่ยงจากนโยบายการค้า และแรงกดดันต่อภาคการผลิตที่จะยังมีต่อเนื่อง ในส่วนของอุปสงค์ภายในประเทศยังเปราะบาง สอดคล้องกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเฉพาะโครงการคุณสู้ เราช่วยเป็นการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อลดภาระการผ่อนให้ลูกหนี้อย่างมีนัยสำคัญ เป็นมาตรการชั่วคราวที่ยาวถึง 3 ปี เพียงพอในการสนับสนุนและรองรับมาตรการระยะถัดไปของภาครัฐในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้อย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ ที่ประชุม กกร.ยังมีความกังวลต่อนโยบายจัดเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐ ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมการส่งออกของไทย โดยล่าสุดสหรัฐประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจาก 10% เป็น 25% และยกเลิกข้อยกเว้นรายประเทศและแบบ รายสินค้า มีผลตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.2568 ทำให้ผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียม ไปสหรัฐต้องแบกรับภาระภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น ดังนั้น กกร.จึงเสนอให้ภาครัฐ เร่งบูรณาการข้อมูลการค้าทุกมิติกับสหรัฐ อาทิ ดุลการค้า ดุลภาคบริการและดิจิทัล ดุลภาคขนส่ง ดุลภาคการศึกษา เป็นต้น เพื่อนำมาวิเคราะห์กำหนดท่าทีร่วมกับภาคเอกชน รวมทั้งการรับมือนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ และผลกระทบจากสงครามการค้า เพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ประกอบการและสร้างโอกาสทางการค้าใหม่ๆ ลดการพึ่งพาตลาดเดิม
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
2. บีโอไอผนึก ZF ดันไทยศูนย์กลางผลิตชิ้นส่วน (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 6 มีนาคม 2568)
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 บีโอไอ ร่วมกับบริษัท แซดเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด จัดงานเจรจาจับคู่ธุรกิจ "ZF Thailand Supplier Day 2025" ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กรุงเทพฯ เพื่อเชื่อมโยงผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิต Tier 2 และ Tier 3 ของไทยกับเครือบริษัท ZF พร้อมยกระดับสายการผลิต ZF ในประเทศไทยให้เป็นฐานการผลิตหลักของภูมิภาค เตรียมรับมือสงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น กลุ่มบริษัท ZF เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ยักษ์ใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก จากประเทศเยอรมนี ดำเนินธุรกิจครอบคลุมภูมิภาคยุโรป อเมริกา เอเชียแปซิฟิก และแอฟริกา โดยถือเป็นผู้ผลิตในระดับ Tier 1 และเป็นผู้นำในการผลิตชิ้นส่วนสำคัญในรถยนต์ เช่น ระบบส่งกำลัง (Transmission), ระบบกันสะเทือน (Suspension) และโครงรถยนต์ (Chassis) โดยมีกลุ่มลูกค้าเป็นค่ายรถยนต์ชั้นนำต่างๆ ทั้งค่ายยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน ทั้งนี้ บริษัทได้เริ่มลงทุนในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2539 ปัจจุบันมีโรงงานผลิตในไทย 5 แห่ง ตั้งอยู่ในจังหวัดระยองและชลบุรี โดยในปีนี้ ZF มีแผนจะยกระดับบริษัทในประเทศไทย ให้เป็นฐานการผลิตและจัดหาชิ้นส่วนหลักของภูมิภาคเพื่อส่งออกไปยังผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก และมีนโยบายที่จะจัดหาและพัฒนาผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยรายใหม่ ๆ โดยเฉพาะผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในระดับ Tier 2 และ Tier 3 ให้สามารถพัฒนาเป็น Supplier และจำหน่ายให้กับเครือของ ZF เพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจของบริษัทในอนาคต และเป็นการเตรียมรับมือสงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยในการจัดงานร่วมกับ BOI ในครั้งนี้ Mr. Daniele Pontarollo, Executive Vice President, Materials Management and Chief Procurement Officer ผู้บริหารสูงสุดที่ดูแลการจัดซื้อจากบริษัทแม่ที่เยอรมัน ได้ให้ความสำคัญโดยเดินทางมาร่วมด้วยตนเอง พร้อมทั้งได้บรรยายเชิงลึกเกี่ยวกับการทำธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ในระดับโลก และนโยบายจัดซื้อชิ้นส่วนของกลุ่ม ZF รวมทั้งได้เชิญผู้บริหารด้านจัดซื้อชิ้นส่วนของ ZF ในจีนและอาเซียนเข้ามาร่วมเจรจาจับคู่ธุรกิจด้วย โดย ZF ตั้งเป้าเพิ่มงบจัดซื้อชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศไทย จากเดิมปีละ 50 ล้านยูโร (1,800 ล้านบาท) เป็น 500 ล้านยูโร (18,000 ล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้น 10 เท่า ภายใน5 ปีข้างหน้า พร้อมทั้งดึงเครือข่ายผู้ผลิตชิ้นส่วนจากต่างประเทศให้มาร่วมลงทุนในไทยด้วย
อย่างไรก็ตาม การจัดงานในครั้งนี้ มีบริษัทชิ้นส่วนยานยนต์เข้าร่วมรับฟังนโยบายจัดซื้อของกลุ่ม ZF อย่างล้นหลามกว่า 430 คนจาก 200 บริษัท โดย ZF ได้คัดเลือกผู้ผลิตชิ้นส่วนที่มีศักยภาพและมีผลิตภัณฑ์ที่ตรงตามความต้องการเข้าร่วมเจรจาธุรกิจเป็นรายบริษัทกับฝ่ายจัดซื้อของ ZF จำนวน 75 บริษัท ใน 8 กลุ่มชิ้นส่วนสำคัญ ได้แก่ Chassis Solution, Electromechanical and Assembly, Chemical, Casting, Steel Components, Forging and Forming, Lifetec และ Non-Production Materials
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์
3. น้ำมันแพงต้นทุนขนส่งเพิ่ม ดันดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างขยายตัว 9 เดือนติด (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 6 มีนาคม 2568)
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เท่ากับ 112.1 เพิ่มขึ้น 0.1% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน จากการสูงขึ้นของไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ผลิตภัณฑ์คอนกรีต จากราคาน้ำมันดีเซลที่สูงขึ้น ทำให้ต้นทุนขนส่งสูงขึ้น วัสดุฉาบผิวสูงขึ้นตามราคาปิโตรเคมี อุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา สูงขึ้นตามทองแดงและเม็ดพลาสติก ยางมะตอยสูงขึ้นจากความต้องการใช้ซ่อมแซมถนนหลังเกิดอุทกภัย ส่วนเหล็กและผลิตภัณฑ์ ราคาลดลง จากปัญหาอสังหาริมทรัพย์ในจีนที่ยืดเยื้อ ภาคอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว จากการอนุมัติสินเชื่อและหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ส่งผลให้ซีเมนต์ กระเบื้อง และสุขภัณฑ์ ลดลงตามกำลังซื้อที่ชะลอตัว ส่วนหมวดสินค้าสำคัญที่ดัชนีราคาลดลง ได้แก่ หมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กลด 3.2% จากการลดลงของสินค้าเหล็กเส้นกลมผิวเรียบ เหล็กเส้นกลมผิวข้ออ้อย และลวดเหล็กเสริมคอนกรีตอัดแรง จากราคาเหล็กในตลาดโลกและในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัญหาวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่ยืดเยื้อ แม้ว่าจีนจะออกมาตรการเศรษฐกิจเพื่อแก้ไขปัญหาแล้วก็ตาม หมวดซีเมนต์ ลด 1.5% จากการลดลงของปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ ปูนซีเมนต์ผสม และปูนฉาบสำเร็จรูป เนื่องจากต้นทุนการผลิตลดลงจากราคาถ่านหินปรับลดลงโดยมีสาเหตุจากการเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดทดแทนมากขึ้น ทำให้ความต้องการใช้ถ่านหินลดลง ประกอบกับมีการแข่งขันในธุรกิจซีเมนต์สูงมาก นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัว ภาคเอกชนชะลอการลงทุนในโครงการใหม่ เนื่องจากมีสต๊อกอสังหาริมทรัพย์คงค้างสูง จากการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน สาเหตุจากหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงและหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ดัชนีราคาหมวดกระเบื้อง ลด 1.3% ลดลงจากสินค้ากระเบื้องเคลือบบุผนัง กระเบื้องเคลือบปูพื้น เป็นต้น และหมวดสุขภัณฑ์ ลด 2.0% จากสินค้าโถส้วมชักโครก กระจกเงา และราวจับสเตนเลส
อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้มดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างเดือนมีนาคม 2568 ยังมีทิศทางขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยบวกต่างๆ เช่น การปรับลดของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะช่วยให้การลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชน และกำลังซื้อภาคอสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภคมีแนวโน้มฟื้นตัว นโยบายทางเศรษฐกิจและมาตรการภาษีที่เข้มงวดของสหรัฐฯ ที่จะส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าวัสดุก่อสร้างสูงขึ้น เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม ทองแดง ซึ่งมีความผันผวนสูงและมีแนวโน้มปรับราคา สูงขึ้น และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ ส่งผลให้ราคาน้ำมันและราคาพลังงานมีแนวโน้มสูงขึ้น ปัจจัยดังกล่าวล้วนส่งผลต่อต้นทุนราคาสินค้าและค่าขนส่ง แต่จะต้องมีการติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
ข่าวต่างประเทศ
4. เวียดนามเร่งเครื่อง ยกระดับมาตรฐานความยั่งยืน รับมือ ยูโร กรีน (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 6 มีนาคม 2568)
นายกรัฐมนตรีเวียดนาม เปิดเผยว่า ได้เล็งเห็นความสำคัญเรื่องความยั่งยืน จึงได้สั่งการรัฐมนตรีอุตสาหกรรมและพาณิชย์ ให้เร่งมือยกระดับมาตรฐานความยั่งยืน ให้รองรับมาตรการ EU Green ที่เข้มงวดขึ้นของสหภาพยุโรป และให้ปฏิบัติการอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ เมื่อสหภาพยุโรป ให้ความสำคัญกับการลงนามความร่วมมือ Paris Agreement ในปี 2016 และมีข้อตกลงร่วม European Green Deal ในปี 2022 ซึ่งตอนนี้เริ่มมีกฎระเบียบใหม่ๆ ที่เคร่งครัดขึ้นในการทำการค้ากับประเทศต่างๆ ทั่วโลก เช่น CBAM มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนสหภาพยุโรป และมาตรการอื่นๆ ที่กำลังตามมา โดยประเทศคู่ค้าต่างๆ ที่ส่งออกไปสู่สหภาพยุโรปต้องรีบปรับตัว ใครเร็ว ใครได้เปรียบ ดังนั้นรัฐบาลเวียดนามที่กำลังเร่งการส่งออกจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นวาระเร่งด่วน โดยมีมาตรการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน Circular Economy มาตรการส่งเสริมการผลิต และการบริโภคที่ยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรม มาตรการส่งเสริมพลังงานสะอาด พลังงานทางเลือก มาตรการลดขยะและของเสียเพื่อหมุนเวียนมาใช้ใหม่ มาตรการสนับสนุนนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้รัฐมนตรีอุตสาหกรรมและพาณิชย์เป็นแม่งาน ประสานความร่วมมือของกระทรวงต่างๆ สภาอุตสาหกรรม หอการค้า เครือข่ายธุรกิจ เครือข่ายธนาคาร และมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยมาตรการนี้ให้หน่วยงานต่างๆ ช่วยกันยกระดับมาตรฐานการผลิตและส่งออกให้ได้มาตรฐานโลก ตอบโจทย์มาตรการ EU Green ซึ่งการปรับตัวนี้เพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขันของชาติในระยะกลางและระยะยาว เพื่อให้ GDP ปีนี้เพิ่มขึ้นในระดับ 6.6% ตามที่ World Bank ทำนายไว้
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำด (มหาชน)