ข่าวประจำวันที่ 13 พฤษภาคม 2568

ข่าวในประเทศ

A person sitting in a chair

AI-generated content may be incorrect.

นายภาสกร ชัยรัตน์

ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)

 

1. เปิดตัวเครื่องมือแพทย์ฝีมือคนไทย (ที่มา: ไทยรัฐ, ประจำวันที่ 13 พฤษภาคม 2568)

นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ, บริษัท อินทรอนิคส์ จำกัด เปิดตัวเครื่องวิเคราะห์การทำงานเครื่องช่วยหายใจ รุ่น VA-01 ฝีมือคนไทยที่ได้มาตรฐานสากล ISO 80601-2-12 และ SMM 04-1 ราคาต่ำกว่าสินค้านำเข้าถึง 3 เท่า เครื่องดังกล่าว เป็นผลิตภัณฑ์ฝีมือคนไทย จากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่เน้นงานวิจัยและพัฒนา เพื่อผลิตเครื่องมือวัดทางการแพทย์คุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ มีจุดเด่นด้านความแม่นยำ ในการวิเคราะห์การทำงานของเครื่องช่วยหายใจในโรงพยาบาลช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน สามารถตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องช่วยหายใจได้รวดเร็วแม่นยำพัฒนาขึ้นตามมาตรฐานสากล และวิธีการมาตรฐาน สำหรับเครื่องมือแพทย์

อย่างไรก็ตาม เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา สศอ.ได้ขับเคลื่อนโครงการเกี่ยวกับอุตสาหกรรมบริการทางการแพทย์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ ลดต้นทุนการนำเข้ายกระดับการให้บริการทางการแพทย์ โดยดำเนินการไปแล้ว 16 โครงการ ด้วยงบประมาณ 307 ล้านบาท สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ 1,200 ล้านบาท ปีนี้จะพัฒนาอีก 7 โครงการ งบประมาณ 99 ล้านบาท เพื่อขยายการดำเนินงานไปยังส่วนอื่นๆ อาทิ การจับคู่ธุรกิจระหว่างงานนวัตกรรมโครงการหรือบริษัทกับนักลงทุน เพื่อต่อยอดขยายงานนวัตกรรมเชิงอุตสาหกรรมสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์และสังคม และส่งออกไปตลาดโลก

 

A person sitting at a desk with a microphone

AI-generated content may be incorrect.

นางอารดา เฟื่องทอง

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ

 

2. 'มะกัน' จ่อเก็บภาษีแชสซีไทย (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 13 พฤษภาคม 2568)

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงกรณีสหรัฐ เปิดไต่สวนการใช้มาตรการตอบโต้ทุ่มตลาด (เอดี) และตอบโต้การอุดหนุน (ซีวีดี) สินค้า  ที่นำเข้าจากประเทศต่างๆ รวมถึงไทยมากขึ้น ในเดือนเมษายน 2568 คณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศสหรัฐ หรือยูเอสไอทีซี เพิ่งประกาศเปิดไต่สวนเอดี/ซีวีดี สินค้าแชสซีสำหรับพ่วงและบรรทุก ที่นำเข้าจากประเทศไทย เวียดนาม และเม็กซิโก ตามที่ภาคอุตสาหกรรมภายในของสหรัฐได้ยื่นคำร้อง อีกทั้งยังพบว่า การนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากไทย และอีก 2 ประเทศ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายในของสหรัฐ ทั้งนี้ ยูเอสไอทีซีมองว่า สินค้าจากทั้ง 3 ประเทศ ขายในสหรัฐในราคาต่ำกว่าราคาที่เป็นธรรม และยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ จนทำให้อุตสาหกรรมภายในของสหรัฐได้รับความเสียหาย ดังนั้น กรมจึงได้ว่าจ้างทนายความเพื่อสู้คดี และดำเนินการต่างๆ ให้ รวมถึงจะว่าจ้างทนายความเพื่อต่อสู้กรณีอื่นๆ ที่สหรัฐเปิดไต่สวนไทยด้วย ซึ่งเดิมทีตั้งใจจะจัดสัมมนาให้ความรู้กับผู้ประกอบการในเรื่องมาตรการเอดี/ซีวีดี และมาตรการทางการค้าต่างๆ แต่ขณะนี้ สหรัฐเปิดไต่สวนเพื่อใช้ทั้ง 2 มาตรการกับสินค้าไทยมากขึ้น จึงปรับเปลี่ยนงบประมาณมาใช้ว่าจ้างทนายความให้ช่วยสู้คดีดีกว่า เพราะตามข้อกำหนดของสหรัฐ หากจะใช้ทนายต้องเป็นทนายที่ลงทะเบียนในระบบของเค้าเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม นอกจากสินค้าแชสซีสำหรับพ่วงและบรรทุกจากไทย ที่สหรัฐอยู่ระหว่างเปิดการไต่สวนแล้ว เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้ประกาศผลการไต่สวนชั้นที่สุดการใช้มาตรการเอดี/ซีวีดี สินค้าเซลล์แสงอาทิตย์จากไทย และเพื่อนบ้าน 3 ประเทศ คือ กัมพูชา เวียดนาม และมาเลเซีย รวม 2 รายการ คือ เซลล์แสงอาทิตย์ที่ประกอบเป็นแผงแล้ว และยังไม่ได้ประกอบเป็นแผง ทั้งนี้ ไทยมีผู้ส่งออก 3 ราย ถูกเรียกเก็บอากรเอดี/ซีวีดีเพิ่มเติมจากอาการนำเข้าปกติ โดยถูกเก็บอากรเอดี 111.45-202.90% และอากรซีวีดี 263.74-799.55% ขณะที่ผู้ส่งออกรายอื่น ถูกเก็บอากรเอดี 111.45% และอากรซีวีดี 263.74% ส่วนกัมพูชา ผู้ส่งออก 5 ราย ถูกเก็บอากรซีวีดี 534.67-3,403.96% บริษัทอื่น 534.67%, มาเลเซีย มี 5 บริษัท ที่ถูกเก็บอากรซีวีดี 14.64-168.80% บริษัทอื่น 32.49% และเวียดนาม 6 บริษัทถูกเก็บที่ 68.15-542.64% บริษัทอื่น 124.57%

 

A person smiling at the camera

AI-generated content may be incorrect.

นายวิกรม กรมดิษฐ์  

ประธานกรรมการและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA

 

3. 'วิกรม' แนะทางรับมือ 'ทรัมป์ 2.0' เร่งสร้าง 'โนว์ฮาว'-โฟกัสตลาดจีน-อาเซียน (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 13 พฤษภาคม 2568)

นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA เปิดเผยว่า จากนโยบายการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐ ที่เรียกเก็บจากประเทศผู้ส่งออก ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย เชื่อว่าทุกประเทศที่เป็นฐานผลิตเพื่อการส่งออกจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับผลการเจรจา ซึ่งผู้ผลิตต้องปรับตัวเพื่อลดผลกระทบดังกล่าว เช่น การขยายไปยังตลาดใหม่ๆ ลดการพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯเพียงอย่างเดียว ปรับแผนการผลิตโดยวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่สอดรับกับทิศทางของตลาด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการกระจายสินค้าไปได้ทั่วโลก ขณะเดียวกันมูลค่าการค้าระหว่างกลุ่มประเทศในอาเซียนมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 10% ในทุกๆ ปี ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการค้าในอาเซียน และจีนเป็นตลาดใหญ่ โดยเฉพาะจีน ที่มีจำนวนประชากรและอัตราการเติบโตรายได้ต่อหัวค่อนข้างสูง ทำให้ยังเป็นโอกาสสำหรับสินค้าไทยที่จะส่งออกไปยังประเทศจีน โดยอาศัยความได้เปรียบในด้านภูมิศาสตร์ที่สามารถส่งสินค้าไปได้ ทั้งระบบขนส่งโดย รถยนต์ และระบบราง เป็นต้น โดยสิ่งที่เกิดขึ้นเราต้องปรับตัวให้ได้ เพราะผู้ประกอบการที่ใช้ไทยเป็นฐานการผลิต ไม่ได้มีเป้าหมายส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ อย่างเดียว แต่ส่งสินค้าไปยังทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นยางรถยนต์ แอร์ ทำให้เกิดกระจายตลาดไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก จากอดีตที่ตลาดส่งออกของไทยให้ความสำคัญกับ 3 กลุ่มประเทศหลักประกอบด้วย สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งกินส่วนแบ่งตลาดอย่างน้อย 20% ในแต่ละประเทศ แต่สถานการณ์ปัจจุบันจะพึ่งพิงตลาดในอาเซียน และจีนเพิ่มขึ้น ทำให้สัดส่วน ของ 3 ประเทศหลักเดิม มีสัดส่วนลดลงมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับการปรับตัวที่จะสามารถยังคงรักษาการเติบโตต่อไปได้ ต้องนำบทเรียนของประเทศต่างๆ ที่พัฒนาเศรษฐกิจให้เข้มแข็ง แม้ว่าต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจในทุกรูปแบบมาโดยตลอด เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน รวมทั้งสิงคโปร์ ที่เป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยเริ่มการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ จากการเปิดรับบุคลากรที่มีความสามารถจากประเทศอื่นๆ เข้ามาร่วมมือกับคนในประเทศ ขณะที่ประเทศไทยควรนำมาเป็นแบบอย่าง เช่น ดึงคนเก่งจากต่างประเทศมาเพื่อให้เกิดความร่วมมือ ในการพัฒนาศักยภาพในการผลิตและบุคลากร รวมถึงนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี หรือ โนว์ฮาว มาพัฒนาการผลิตสินค้าใหม่ๆ ตรงกับความต้องการของตลาด เพื่อยกระดับสินค้าไทย ซึ่งปัจจุบัน ผู้ประกอบการที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะของไทยส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตเพื่อการส่งออก 80% เป็นการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูง สามารถกระจายไปยังทั่วโลก และพึ่งพิงตลาดในประเทศเพียง 20%

อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายโอซามู ซูโด รักษาการประธาน เจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA กล่าวว่า เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมไทยและปรับตัวเพื่อรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก รวมถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลจากขึ้นภาษีของสหรัฐฯเนื่องจากเรามีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและให้บริการที่เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจระดับโลก ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ในการเลือกไทยเป็นฐานการผลิตและการลงทุน รวมถึงศักยภาพทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมและเป็นศูนย์ กลางทางการผลิตในภูมิภาคเอเชียทำให้เราสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติได้อย่างต่อเนื่อง

 

ข่าวต่างประเทศ

A red flag with yellow stars

AI-generated content may be incorrect.

 

4. ยอดขายรถจีนในเดือนเม.ย.โต 14.8% อานิสงส์โครงการรถเก่าแลกรถใหม่ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 13 พฤษภาคม 2568)

สมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแห่งประเทศจีน (CPCA) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในเดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ 1.78 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 14.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เติบโตเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน โดยได้แรงหนุนจากโครงการรถเก่าแลกรถใหม่ที่รัฐบาลจีนอุดหนุน ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่มีต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค และในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 ทำยอดขายรวม 6.97 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 8.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริด พุ่งขึ้น 33.9% เมื่อเทียบรายปี คิดเป็นสัดส่วน 50.8% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในเดือนเมษายน

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางการชี้ว่า โครงการของรัฐบาลที่ให้เงินอุดหนุนการเปลี่ยนรถเก่าเป็น NEV ในอัตราที่สูงกว่ารถยนต์สันดาป มีรถเข้าร่วมแล้ว 2.71 ล้านคัน (ข้อมูล ณ วันที่ 24 เมษายน 2568) โครงการนี้ช่วยพยุงความเชื่อมั่นผู้บริโภคชาวจีน ท่ามกลางการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนของสหรัฐฯ ซึ่งกระทบต่อการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ยอดส่งออกรถยนต์ในเดือนเมษายนลดลง 2.2% จากปีก่อนหน้า ต่อเนื่องจากเดือนมีนาคม ที่ลดลง 8% ตามข้อมูลของ CPCA    

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)