ข่าวในประเทศ
นายพิชัย นริพทะพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
1. APEC ประกาศเจตนารมณ์ ร่วมเผชิญ-แก้ปัญหาการค้ายุคใหม่ (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 21 พฤษภาคม 2568)
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค(APEC Ministers Responsible for Trade Meeting : MRT) ประจำปี 2568 ณ จังหวัดเชจู สาธารณรัฐเกาหลี เมื่อวันที่ 15-16 พฤษภาคม 2568 ว่า ได้แสดงวิสัยทัศน์และแนวทางของไทย ในการรับมือความท้าทายทางการค้าโลก พร้อมใช้โอกาสนี้หารือภาครัฐและเอกชนของเอเปค เพื่อสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจการค้า ท่ามกลางบรรยากาศที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายทางการค้า การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และความผันผวนทางเศรษฐกิจ เพราะเวทีนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่เขตเศรษฐกิจเอเปคจะได้มานั่งร่วมโต๊ะ แลกเปลี่ยนมุมมอง และหารือแนวทางขับเคลื่อนการค้าโลกอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน สำหรับการประชุมปี 2568 นี้ เน้นหารือ 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. การใช้นวัตกรรมและปัญญาประดิษฐ์เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า 2. การส่งเสริมระบบการค้าพหุภาคีที่เชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิภาพ และ 3. การขับเคลื่อนความมั่งคั่งผ่านการค้าที่มีความยั่งยืน มีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างเขตเศรษฐกิจสมาชิก และกำหนดแนวทางความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนการค้าโลกอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน โดยที่ประชุมได้ร่วมกันรับรองถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) ภายใต้หัวข้อหลัก "Building a Sustainable Tomorrow" หรือ "เสริมสร้างวันพรุ่งนี้ที่ยั่งยืน" เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมในการเผชิญและแก้ไขปัญหาการค้าในยุคใหม่
อย่างไรก็ตาม ผลการประชุมจะเป็นประโยชน์ในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนของไทย และเขตเศรษฐกิจเอเปก ตลอดจนสนับสนุนการสร้างโอกาสให้ภาคธุรกิจสามารถขยายตลาดในระดับโลก อีกทั้งยังเป็นการวางรากฐานความร่วมมือที่รับมือกับความท้าทายทางการค้าในระยะยาว โดยตนและรัฐมนตรีการค้าเอเปคได้ร่วมรับรองแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปค เพื่อแสดงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือในประเด็นสำคัญของการค้าโลกยุคใหม่
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
2. บีโอไอปลื้ม SUBCON ปิดดีลทะลุ 2.2 หมื่นล้าน (ที่มา: ข่าวสด, ประจำวันที่ 21 พฤษภาคม 2568)
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ผลการจัดงาน SUBCON Thailand 2025 ครั้งที่ 19 ระหว่างวันที่ 14-17 พฤษภาคม 2568 โดยร่วมกับสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย และบริษัท อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ประสบความสำเร็จอย่างสูง มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 46,000 คน โดยมีคณะผู้ซื้อทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวม 68 ราย จาก 13 ประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส อิตาลี สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม สเปน ลักเซมเบิร์ก ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน อินเดีย เวียดนาม และไทย มีการเจรจาธุรกิจภายในงาน 9,975 คู่ โดยบริษัทที่ร่วมเจรจาธุรกิจ ได้ประเมินว่าจะเกิดมูลค่าการซื้อขายชิ้นส่วนกว่า 22,000 ล้านบาท สำหรับกิจกรรมพิเศษ xEV Sourcing Zone พื้นที่สำหรับผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ Tier 1 จำนวน 10 บริษัท จัดแสดงชิ้นส่วนที่ต้องการจัดซื้อจากผู้ประกอบการไทยใน Tier 2 และ Tier 3 ซึ่งปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 และเกิดการเจรจาธุรกิจภายในโซน 243 คู่ คาดว่าจะเกิดมูลค่าการซื้อขายชิ้นส่วนรถยนต์ xEV กว่า 3,650 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การจัดงานครั้งนี้ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของ Supply Chain และฐานผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศไทย ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ซื้อต่างชาติเป็นจำนวนมาก ด้วยความเชื่อมั่นในคุณภาพและมาตรฐานระดับโลก ย้ำจุดแข็ง ของไทยในการเป็นศูนย์กลางการจัดซื้อชิ้นส่วนอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค โดยบีโอไอมุ่งมั่นสนับสนุนให้เกิดการใช้ชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในประเทศให้มากที่สุด พร้อมเปิดโอกาสการเชื่อมโยงธุรกิจกับบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศ ทั้งการจัดซื้อชิ้นส่วน การว่าจ้างผลิต การร่วมทุน รวมถึงการแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และช่วยสนับสนุน ให้ผู้ประกอบการไทยสามารถคว้าโอกาสใหม่ ท่ามกลางสถานการณ์การค้าโลกที่ท้าทาย
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์
3. สนค.จับมือมธ.ระดมสมอง จัดทำแผนยกระดับแข่งขันอุตฯ ยานยนต์ (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 21 พฤษภาคม 2568)
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค.ได้จับมือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดประชุมระดมสมอง (Focus Group) เรื่อง "การยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์" ร่วมกับภาคเอกชน อาทิ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย สมาคมสมองกลฝังตัวไทย ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญ และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ทั้งในช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อจัดทำแผนยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันอุตสาหกรรมยานยนต์ ทั้งดั้งเดิมและอนาคต เพื่อให้ไทยยังคงมีขีดความสามารถในการส่งออกได้ต่อไป ทั้งนี้ เนื่องจากไทยซึ่งพึ่งพาการส่งออกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จำเป็นต้องปรับตัว เพื่อรับมือกับแนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์การค้าที่กำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน จากทั้งปัจจัยเชิงโครงสร้างด้านการผลิตภายในประเทศ และปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกประเทศ โดยเฉพาะมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ รวมทั้งการตอบโต้จากจีน ที่มีแนวโน้มจะส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานการผลิต การลงทุน และการส่งออกของหลายประเทศทั่วโลก โดยการจัดกิจกรรมระดมสมองกับผู้เชี่ยวชาญในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ในครั้งนี้ ได้รับข้อมูลเชิงลึกและข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญในกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งครอบคลุมทั้งในประเด็นแนวทางในการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ดั้งเดิมและการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ความกังวลและข้อจำกัดของการพัฒนาในมิติต่างๆ รวมทั้งข้อเสนอแนะสำหรับภาครัฐในการสนับสนุน และส่งเสริมการผลิตและการกระจายตลาด ส่งออก ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการศึกษาและจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทย
อย่างไรก็ตาม โครงการศึกษานี้ ได้มีการศึกษาวิเคราะห์เชิงลึกของภาพรวมโครงสร้างการส่งออกและศักยภาพของสินค้าส่งออกที่สำคัญ และการวิเคราะห์กลุ่มอุตสาหกรรมศักยภาพและประเมินผลทางเศรษฐกิจ ที่เพิ่มขึ้นจากการยกระดับการส่งออกผ่านการผลักดัน 2 คลัสเตอร์อุตสาหกรรมศักยภาพ คือ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่และอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ดังนั้นเพื่อให้ได้ผลการวิเคราะห์ที่รอบด้าน จะมีการรวบรวมความคิดเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด้วยการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงจากการประชุมระดมสมองทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา นำมาพัฒนาข้อเสนอแนะ เชิงนโยบายในการปรับโครงสร้างและยกระดับภาคการส่งออกของไทย สำหรับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้ใช้ประโยชน์ เพื่อประกอบการตัดสินใจวางกลยุทธ์เปลี่ยนผ่านการผลิตกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมศักยภาพที่ทันสมัยสอดคล้องกับความต้องการของในโลกอนาคตต่อไป เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าการส่งออก 1.1 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 10.3% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด และคิดเป็น 5.9% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปี 2567
ข่าวต่างประเทศ
4. ยอดสั่งซื้อสินค้าส่งออกไต้หวันเดือนเม.ย.พุ่ง 19.8% เหตุลูกค้าแห่ตุนหนีภาษีสหรัฐฯ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 21 พฤษภาคม 2568)
กระทรวงเศรษฐกิจไต้หวัน เปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าส่งออกเดือนเมษายน 2568 ทะยานขึ้น 19.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะระดับ 5.64 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นการเติบโตติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 10.0% โดยยอดสั่งซื้อสินค้าส่งออกของไต้หวันในเดือนเมษายน ขยายตัวสูงกว่าคาดการณ์ อันเป็นผลจากลูกค้าเร่งกักตุนสินค้าเทคโนโลยีจากไต้หวัน ก่อนที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะประกาศใช้มาตรการภาษีทั่วโลกในเดือนเดียวกัน ซึ่งต่อมามีการยกเลิกไปบางส่วน ขณะที่โมเมนตัมของคำสั่งซื้อยังคงแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) และคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง (HPC) ทั้งนี้ คำสั่งซื้อสินค้าจากไต้หวันถือเป็นดัชนีชี้วัดอุปสงค์เทคโนโลยีในตลาดโลกได้เป็นอย่างดี เนื่องจากไต้หวันเป็นฐานการผลิตสำคัญของ TSMC ผู้รับจ้างผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลก และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกของไต้หวันซึ่งพึ่งพาการค้าในระดับสูง อาจได้รับผลกระทบอย่างหนักในปีนี้ หากทรัมป์ยังคงเดินหน้าตามแผนการขึ้นภาษี ทั้งนี้ กระทรวงฯ ได้ออกแถลงการณ์เตือนว่า ความไม่แน่นอนจากสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองโลก รวมถึงความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ในช่วงที่ผ่านมาได้เพิ่มสูงขึ้น พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมรับมืออย่างรอบคอบ
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)