ข่าวในประเทศ
นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
1. ไฟเขียวคุมมาตรฐาน 5 สินค้า (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 11 กันยายน 2568)
นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) เมื่อเร็วๆ นี้ เห็นชอบให้วงล้อรถยนต์ ทั้งที่ทำจากเหล็กกล้าโลหะผสมอะลูมิเนียมและโลหะผสมแมกนีเซียมเป็นสินค้าควบคุม เนื่องจากวงล้อรถยนต์เป็นชิ้นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อสมรรถนะการขับขี่ความปลอดภัย รวมถึงความสวยงามของตัวรถซึ่งผู้ใช้รถมักมีการเปลี่ยนวงล้อรถยนต์ จากเดิมที่ติดตั้งมาจากโรงงานเป็นวงล้อที่ตนเองชื่นชอบซึ่งมีคุณภาพแตกต่างกันออกไปและอาจส่งผลต่อสมรรถนะในการขับขี่และความปลอดภัยในการใช้งาน ขณะเดียวกันที่ประชุม กมอ. ยังเห็นชอบสินค้าควบคุม เพิ่มอีก 5 มาตรฐาน ได้แก่ วงล้อรถยนต์, เสื้อผ้าและของใช้ที่ทำจากผ้าสำหรับเด็กอ่อน, เครื่องดับเพลิงยกหิ้วชนิดผงเคมีแห้ง, เครื่องดับเพลิงยกหิ้วชนิดโฟมและเครื่องดับเพลิงยกหิ้วชนิดคาร์บอนไดออกไซด์ พร้อมทั้งเห็นชอบร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์ และมาตรฐานวิธีทดสอบอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 112 มาตรฐาน เช่น มาตรฐานยางรองแผ่นคอนกรีตปูทางผ่านเสมอระดับทางรถไฟ สีน้ำรองพื้นสำหรับพื้นผิวอเนกประสงค์ ท่อยางพร้อมอุปกรณ์ประกอบสำหรับการเติมและการถ่ายเชื้อเพลิงภาคพื้นดินของอากาศยาน ชุดผ้าเบรก ผ้าดรัมเบรก จานดิสก์เบรกทดแทนสำหรับยานยนต์และส่วนพ่วง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวว่า มาตรฐานวงล้อรถยนต์เดิมเป็นมาตรฐานภาคสมัครใจ แต่เนื่องจากคุณภาพของวงล้อรถยนต์จะส่งผลต่อการควบคุมรถการทรงตัวของรถ และระบบเบรกจึงต้องเร่งดำเนินการให้เป็นสินค้าควบคุมโดยเร็ว เพราะหากเป็นวงล้อรถยนต์ที่ไม่ได้มาตรฐานอาจส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ โดยมาตรฐานครอบคลุมวงล้อรถยนต์ที่ทำจากวัสดุทั้ง 3 ประเภท ได้แก่ เหล็กหล้า โลหะผสมอะลูมิเนียมและโลหะผสมแมกนีเซียม ใช้สำหรับรถยนต์ประเภทต่าง ๆ เช่น รถออฟโรด รถกระบะ รถบัส รถบรรทุก และรถส่วนพ่วงบรรทุกสิ่งของ ซึ่งวงล้อรถยนต์ที่ได้มาตรฐานจะต้องผ่านการทดสอบความแข็งแรงความทนต่อแรงกระแทกซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากการแตกร้าวหรือเสียรูปของล้อ ทั้งนี้ สมอ.จะเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้ทั้ง 5 มาตรฐานดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายภายในปี 2569 และเมื่อประกาศเป็นสินค้าควบคุมแล้วผู้ประกอบการทั้งผู้ผลิตและผู้นำเข้าทุกรายจะต้องขออนุญาตจาก สมอ.ก่อนผลิตและนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย
นางอารดา เฟื่องทอง
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
2. โชว์ส่งออกเอฟทีเอ 1.45 ล้านล. (ที่มา: ข่าวสด, ประจำวันที่ 11 กันยายน 2568)
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ของไทยมีขยายตัวต่อเนื่อง มูลค่ารวม 44,785.52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.45 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิเอฟทีเอ 79.64% เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 10.22% โดยเป็นการส่งออกไปยังอาเซียน ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) สูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง มูลค่า 15,732.60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีสัดส่วนการใช้สิทธิ 67.69% อันดับสอง คือ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) มูลค่า 12,618.47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิ 92.59% อันดับสาม ความตกลงการค้าเสรีอาเซียนอินเดีย (AIFTA) มูลค่า 5,530.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิ 75.35% อันดับสี่ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 3,180.87 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิ 77.24% และอันดับห้า ความตกลงการค้าเสรีไทยออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 2,751.51 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิ 57.58%
อย่างไรก็ตาม สำหรับสินค้าที่มีการขอใช้สิทธิเอฟทีเอสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ทุเรียนสด ยานยนต์สำหรับขนส่งของ ยางสังเคราะห์และแฟกติชที่ได้จากน้ำมัน แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) และน้ำตาลที่ได้จากอ้อย ซึ่งสินค้า 5 อันดับแรกนี้ยังคงเป็นสินค้าหลักในการขับเคลื่อนการส่งออกของไทยในหลายตลาด สำหรับสินค้าที่ขอใช้สิทธิสูงสุด แบ่งเป็นสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป มูลค่ารวม 12,514.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 27.94% สินค้าอุตสาหกรรม มูลค่ารวม 32,271.38 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 72.06% ของมูลค่าการใช้สิทธิทั้งหมด
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ
ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
3. กนอ.ผนึกกำลังส.อ.ท. ยกระดับการลงทุนอุตฯ เป้าหมาย (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 11 กันยายน 2568)
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ.และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ประกาศก้าวสำคัญของความร่วมมือภาคีรัฐและเอกชน ด้วยการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อยกระดับและเร่งรัดการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งความร่วมมือนี้นับเป็นการผนึกพลังของ 2 องค์กรที่มีศักยภาพแตกต่างกัน กนอ.มีความพร้อมด้านพื้นที่ โครงสร้างพื้นฐาน และการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน ขณะที่ ส.อ.ท.เป็นตัวแทนภาคอุตสาหกรรมที่ใกล้ชิดและมีความเข้าใจในความต้องการของผู้ประกอบการอย่างลึกซึ้ง โดยความร่วมมือภายใต้นโยบาย NOW Thailand ของ กนอ. และนโยบาย One FTI ของ ส.อ.ท. จะทำให้เกิดพลังเสริมที่สามารถผลักดันการลงทุนได้อย่างเป็นรูปธรรม เกิดเป็นนโยบายและมาตรการที่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง ซึ่งจะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยให้เป็น New Growth Engine ของประเทศ และนำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจไทยโดยรวม ในขณะเดียวกันความร่วมมือนี้ยังเป็นเวทีสู่การพัฒนานวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่ม และเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดย กนอ.มุ่งขับเคลื่อนนิคมอุตสาหกรรมสู่การเป็น Smart Industrial Estate ผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และส่งเสริมการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยกับบริษัทชั้นนำระดับโลก เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็ง ทั้งนี้ ทางด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัจจุบันไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจโลก และการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ก็มีโอกาสสำคัญจากการไหลเข้าของเงินลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ระบุว่า มูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกปี 2568 สูงถึง 1.058 ล้านล้านบาท เติบโต 138% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดการลงทุน เนื่องจากมีความพร้อมทั้งด้านทำเล โครงสร้างพื้นฐาน และระบบนิเวศการผลิต (Ecosystem) ที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมสมัยใหม่ อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แบตเตอรี่ Data Center เกษตรและชีวภาพขั้นสูง รวมถึง Climate Tech ด้วยเหตุนี้ ส.อ.ท.จึงมุ่งผลักดันให้เกิดการยกระดับอุตสาหกรรมจากอุตสาหกรรมเดิม (First Industries) สู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-Gen Industries) ซึ่งประกอบไปด้วย S-Curve & New S-Curve รวมทั้ง BCG และ Climate Change ซึ่งเป็นนโยบายที่ไปในทิศทางเดียวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมของโลก และนโยบายของภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม สำหรับขอบข่ายความร่วมมือหลัก 4 ด้าน ภายใต้ MOU ฉบับนี้ ประกอบด้วย 1. การเร่งรัดการลงทุน ด้วยการร่วมกันจัดทำแนวทางและแผนสร้างแรงจูงใจ เพื่อรองรับการย้ายฐานการผลิตและปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม 2. ความร่วมมือทางวิชาการและข้อมูล แลกเปลี่ยนข้อมูลภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม เพื่อใช้กำหนดนโยบายและสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน 3. การพัฒนากฎหมายและกฎระเบียบ เพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ โดย กนอ.จะสนับสนุนการใช้บริการแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร (One Stop Service) และ "ทางด่วน" การลงทุน (Investment Fast Track) และ 4. การส่งเสริมความยั่งยืน ด้วยการร่วมกันยกระดับผู้ประกอบการด้วยมาตรฐาน "โรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ" (Eco Factory) ตั้งแต่การพัฒนาเกณฑ์มาตรฐาน การให้การรับรอง การพัฒนาบุคลากร ไปจนถึงการมอบสิทธิประโยชน์และจัดพิธีมอบรางวัล
ข่าวต่างประเทศ
4. สหรัฐเผยดัชนี PPI +2.6% เดือนส.ค. ต่ำกว่าคาดการณ์ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 11 กันยายน 2568)
กระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยถึงดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ประจำเดือนสิงหาคม 2568 โดยดัชนี PPI ทั่วไป (Headline PPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือนสิงหาคม เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.3% จากระดับ 3.1% ในเดือนกรกฎาคม ทั้งนี้ เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI ทั่วไป ปรับตัวลง 0.1% ในเดือนสิงหาคม สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าปรับตัวขึ้น 0.3% หลังจากปรับตัวขึ้น 0.7% ในเดือนกรกฎาคม
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.8% ในเดือนสิงหาคม เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.5% จากระดับ 3.4% ในเดือนกรกฎาคม ทั้งนี้ เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI พื้นฐาน ปรับตัวลง 0.1% ในเดือนสิงหาคม สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าปรับตัวขึ้น 0.3% หลังจากปรับตัวขึ้น 0.7% ในเดือนกรกฎาคม
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)