ข่าวในประเทศ
นายพรยศ กลั่นกรอง
อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.)
1. กรอ.หนุนเอสเอ็มอีใช้เครื่องจักรเข้าถึงสินเชื่อ 2.2 แสนล. (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 12 กันยายน 2568)
นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยว่า ช่วงท้ายปีงบประมาณ 2568 ต่อเนื่องถึงปีงบประมาณ 2569 กรอ.จะเร่งส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งเป็นโรงงานขนาดเล็กในการกำกับของ กรอ. โดยจะเดินหน้ายกระดับเอสเอ็มอีให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ผ่านโครงการส่งเสริมการ เปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนพลังงาน และลดมลพิษ โดยสถิติการจดทะเบียนเครื่องจักรเพื่อช่วยให้เอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2567-8 กันยายน 2568 พบว่า 1. การจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร จำนวนเครื่องจักร 4,479 เครื่อง คิดเป็นมูลค่าเครื่องจักร 1.16 แสนล้านบาท และ 2. การจดทะเบียนจำนองเครื่องจักร จำนวนเครื่องจักร 749 เครื่อง วงเงินจำนอง 2.23 แสนล้านบาท ทั้งนี้ จำนวนและมูลค่าการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร ที่สูงแสดงให้เห็นว่าเอสเอ็มอีมีความตื่นตัวในการนำเครื่องจักรเข้าระบบเพื่อเข้าถึงสินเชื่อในอนาคต ส่วนการจดทะเบียนจำนองเครื่องจักรที่สูงเช่นกัน ก็ทำให้พบว่าเอสเอ็มอีที่ กรอ.ดูแลเข้าถึงสินเชื่อได้ถึง 2.23 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในปี 2569 กรอ.ได้รับการจัดสรรงบเพื่อพัฒนา "ระบบศูนย์ข้อมูลเครื่องจักรแห่งชาติเพื่อการเชื่อมโยงแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง" ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถแปลงสินทรัพย์เป็นทุนจากเครื่องจักรได้อย่างครบวงจร จุดเด่นของโครงการ ผู้ประกอบการสามารถนำเครื่องจักรมาจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เพื่อใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยมีศูนย์ข้อมูลเครื่องจักรครบวงจรเป็นศูนย์รวมการให้บริการยื่นคำขอออกเอกสารผ่านช่องทางอิเล็กทรอกนิกส์ และการให้บริการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักร ทำให้การทำธุรกรรมหลังการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เป็นไปอย่างรวดเร็ว การพัฒนาครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเอสเอ็มอีเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการใช้เครื่องจักรที่ทันสมัย ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิต ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของประเทศ
นายยุทธศักดิ์ สุภสร
ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
2. กนอ.ผนึกกำลัง 3 พันธมิตร ยกระดับการจัดการของเสียอุตสาหกรรม (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 12 กันยายน 2568)
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน โดยมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero Emission ความร่วมมือครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายของ กนอ. และภาครัฐ ในการบริหารจัดการของเสียอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน และเป็นอีกก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำของประเทศ ซึ่งภายใต้ความร่วมมือนี้ทั้ง 3 บริษัท จะผนึกกำลังยกระดับการจัดการของเสียอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายหลัก 5 ด้าน ได้แก่ 1. ปรับคุณภาพและคัดแยกของเสีย อุตสาหกรรมเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์อย่างปลอดภัย 2. ศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมลงทุนพัฒนาโรงบำบัดน้ำเสีย อุตสาหกรรมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม 3. สร้างต้นแบบการจัดการของเสียตามแนวคิด Close Loop และ Industrial Symbiosis 4. แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และประสบการณ์ เพื่อพัฒนาสู่การจัดการของเสียระดับประเทศ และ 5. สนับสนุนนโยบายของ กนอ. และภาครัฐในการบริหารจัดการของเสียอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน โดยบทบาทหน้าที่ของแต่ละบริษัทภายใต้ข้อตกลงมีดังนี้ 1. GENCO จะรับผิดชอบการคัดแยกและปรับปรุงคุณภาพของเสียอุตสาหกรรมให้ได้มาตรฐาน 2. SCG Cement จะนำของเสียคุณภาพที่ผ่านการ คัดแยกไปใช้ประโยชน์ในกระบวนการผลิต และจัดการของเสียที่ไม่ผ่านเกณฑ์เข้าสู่ระบบกำจัดที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ 3. SCI eco จะ ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานด้านการตลาด (Marketing Arm) ประสานงานกับผู้ก่อกำเนิด ของเสีย และบริหารจัดการด้านการขนส่ง
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวว่า ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะเริ่มต้นจะมีมูลค่าการจัดการของเสียอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 24 ล้านบาทต่อปี ช่วยลดค่าขนส่งได้ถึง 2.4 ล้านบาทต่อปี และลดการขนส่งของเสียได้ถึง 184,000 เที่ยว-กิโลเมตรต่อปี สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมและ กนอ.ตามโครงการมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ สู่ "Closed Loop-Zero Waste to Landfill" ทำให้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero Emission ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในระยะที่ 2 จะมีการศึกษาความ เป็นไปได้ในการร่วมลงทุนพัฒนาโรงบำบัดน้ำเสียอุตสาหกรรมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของ GENCO หากสำเร็จจะกำจัดของเสียชนิดเหลว (Liquid Waste) ได้ประมาณ 40,000 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่ากว่า 100 ล้านบาทต่อปี
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
3. ต่างชาติแห่ขอ LTR Visa เพิ่มมูลค่าศก.ไทยกว่า 2.3 หมื่นล้าน (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 12 กันยายน 2568)
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ตามที่บีโอไอได้ดำเนินการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดบุคลากรคุณภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย ผ่านมาตรการวีซ่าชนิดพิเศษ "Long-Term Resident Visa (LTR Visa)" สำหรับชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง 4 กลุ่ม ได้แก่ 1. ผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ (Highly Skilled Professionals) 2. ผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานจากประเทศไทยให้กับนายจ้างในต่างประเทศ (Work-from-Thailand Professionals) 3. ผู้ที่มีความมั่งคั่งสูง (Wealthy Global Citizen) และ 4. ผู้เกษียณอายุ (Wealthy Pensioners) ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2565 เป็นต้นมา โดยปัจจุบันมีผู้ได้รับอนุมัติ LTR Visa รวมกว่า 7,000 คน จากทั้งกลุ่มยุโรป คิดเป็น 42% สหรัฐอเมริกา 19% และเอเชีย อาทิ ญี่ปุ่น 9% จีน 5% และอินเดีย 4% สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจกว่า 23,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเม็ดเงินจาก 4 ช่องทางหลัก ได้แก่ ค่าธรรมเนียมวีซ่า ประมาณการค่าใช้จ่ายในประเทศไทยของผู้ถือวีซ่า การลงทุนโดยตรง และรายได้ภาษีจากผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง ทั้งนี้ เมื่อเดือนมกราคม 2568 บีโอไอได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ให้ปรับปรุงมาตรการ LTR Visa โดยปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขสำหรับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เพื่อเพิ่มความน่าดึงดูดของมาตรการ และสามารถเข้าถึงกลุ่ม Talent ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น รวมทั้งขยายขอบเขตให้ครอบคลุมถึงอาจารย์ชาวต่างชาติในสถาบันการศึกษาและอาชีวศึกษาในสาขาต่างๆ เพื่อเร่งยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรไทยรองรับคลื่นการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ โดยส่งผลให้คำขอกลุ่มผู้ที่มีความมั่งคั่งสูงเพิ่มขึ้นเท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ช่วยเพิ่มการลงทุนในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ และผู้เกษียณอายุยังเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานจากประเทศไทยให้กับนายจ้างในต่างประเทศ ชะลอตัวลงตามเทรนด์ของโลกหลังโควิด ที่สถานการณ์การทำงานเข้าสู่ภาวะปกติ
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงของโลกการค้ายุคใหม่ ประเทศไทยยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนและกลุ่ม Talent จากทั่วโลก ที่เข้ามาขอรับสิทธิตามมาตรการ LTR Visa เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากปรับหลักเกณฑ์ใหม่ให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดมากขึ้น มาตรการ LTR Visa เข้ามาช่วยเพิ่มจุดแข็งของประเทศไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุนและบุคลากรคุณภาพสูงจากทั่วโลก อีกทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากบุคลากรต่างชาติ โดยสิ่งเหล่านี้จะช่วยยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรไทยให้สามารถรองรับอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่กำลังเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดาต้าเซ็นเตอร์และเทคโนโลยี AI ยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีชีวภาพ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ช่วยให้เกิดเม็ดเงินลงทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย
ข่าวต่างประเทศ
4. IMF ชี้เฟดมีโอกาสหั่นดอกเบี้ย เหตุตลาดแรงงานอ่อนแอ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 12 กันยายน 2568)
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย อันเนื่องจากภาวะตลาดแรงงานที่อ่อนแอ แต่เฟดควรดำเนินการอย่างระมัดระวัง ขณะที่ยังคงจับตาข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสหรัฐมีความเสี่ยงในช่วงขาลงต่อการจ้างงานเต็มศักยภาพ เฟดจึงมีโอกาสที่จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ย้ำว่าเฟดควรดำเนินการอย่างระมัดระวัง และต้องอิงตามข้อมูลเศรษฐกิจที่จะปรากฏออกมาในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ ตลาดคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า หลังการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานในวันนี้
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า แม้ดัชนี CPI ดีดตัวขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2568 นอกจากนี้ นักลงทุนมองว่าตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานที่พุ่งขึ้นในวันนี้จะเป็นปัจจัยหนุน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ทั้งนี้ ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 89.1% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมวันที่ 16-17 กันยายน 2568 นอกจากนี้ นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ทั้งในการประชุมเดือนตุลาคม และธันวาคม
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)