ข่าวในประเทศ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล
ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
1. ผนึกพลังธุรกิจ 149 องค์กร 16,000 รายเปลี่ยนขยะบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วเป็นวัตถุดิบ (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 3 ตุลาคม 2568)
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า สถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม (TIPMSE) ระดมพลังภาคีเครือข่ายกว่า 149 องค์กร และสมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กว่า 16,000 ราย ร่วมขับเคลื่อน EPR in Action เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วให้กลับมาเป็นวัตถุดิบตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนสร้างมูลค่าเพิ่ม ผลักดันมาตรการจูงใจ ด้วยสิทธิประโยชน์ทางภาษี สร้างกลไกตลาด ทั้งนี้ TIPMSE ได้วางแผนดำเนินการใน 4 ด้าน เพื่อพัฒนาการเก็บคืนบรรจุภัณฑ์เข้าสู่ระบบรีไซเคิล ประกอบด้วย 1. พัฒนากลไก EPR ที่เหมาะสมกับไทย พัฒนาร่างกฎหมาย รวมถึงร่วมกับองค์กรในและต่างประเทศ ทำระบบจัดการข้อมูล EPR รวมถึงซากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และคำนวณค่าธรรมเนียม และโครงสร้างขององค์กรรับผิดชอบการจัดการบรรจุภัณฑ์ (PRO) 2. พัฒนาระบบเก็บกลับ เพื่อให้เกิดต้นแบบการจัดเก็บตามหลักการ EPR โดยได้นำร่องในพื้นที่จังหวัดชลบุรี 3. สร้างการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยขยายความร่วมมือกับองค์กรที่เป็นศูนย์รวมของกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง รวมถึงองค์กรต่างๆ ที่จะมาสนับสนุนตลอดเส้นทางห่วงโซ่คุณค่าของบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้เป็นกลไกเครือข่ายการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน หรือ EPR Network และ 4. พัฒนาองค์ประกอบอื่นๆ ผลักดันให้เกิดแนวคิดการออกแบบเพื่อการรีไซเคิล ที่จะช่วยให้บรรจุภัณฑ์กลับมาเป็นวัตถุดิบได้ รวมถึงการพัฒนามาตรการจูงใจเพื่อสนับสนุน EPR เช่น ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อดึงดูดให้ใช้ PCR จากแหล่งที่มาภายในประเทศมาใช้ การออกใบรับรองหน่วยงานร่วมขับเคลื่อน ที่จะเข้ามาช่วยให้ทุกฝ่ายที่เข้ามามีส่วนร่วมได้รับประโยชน์จากการทำงาน เพื่อใช้ในการสื่อสารและสร้างภาพลักษณ์
อย่างไรก็ตาม ทางด้าน นายโฆษิต สุขสิงห์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธาน TIPMSE กล่าวว่า ปีนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญ เนื่องจาก TIPMSE ดำเนินงานมาจะครบ 20 ปี ของการก่อตั้งสถาบันฯ ในเดือนธันวาคมนี้ โดยสถาบันฯ มีเป้าหมายผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เป็นวัตถุดิบ เป็นเป้าหมายที่สามารถทำได้จริง ภายใต้ ความร่วมมือของภาคีเครือข่าย EPR Network ที่ขยายจากเดิมกว่า 149 หน่วยงาน มาสู่องค์กรศูนย์กลาง ที่ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนทั้งการกระจายข่าวสาร ข้อมูลและความรู้ และผลักดันให้บรรจุภัณฑ์ใช้แล้วกลับมาเป็นวัตถุดิบในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน
นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย
ผู้อำนวยการสถาบันวิจัย และพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT
2. GIT จัดมาตรฐานความยั่งยืน ยกระดับอุตฯ อัญมณีไทยชิงส่วนแบ่งตลาดโลก (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 3 ตุลาคม 2568)
นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบัน วิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT เปิดเผยว่า ประเทศไทย มีจุดแข็งด้านฝีมือและการออกแบบที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก แต่กลไกสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้ก้าวสู่การแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้นคือ "มาตรฐาน" ที่สร้างความน่าเชื่อถือเชิงระบบ ตั้งแต่แหล่งที่มาวัตถุดิบ มาตรฐานแรงงาน ความปลอดภัย ไปจนถึงสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ มีการประมาณการว่าในปี 2024 อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับโลกมีมูลค่าสูงกว่า 366.79 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 11.89 ล้านล้านบาท ขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกกำลังเปลี่ยนผ่านจากการให้คุณค่าเพียงด้านความสวยงามและอารมณ์ความรู้สึก มาสู่การให้ความสำคัญกับมาตรฐานความโปร่งใสและธรรมาภิบาล ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักในการแข่งขันในอนาคต ซึ่งมาตรฐานจึงไม่เพียงเป็นเครื่องมือสร้างความเชื่อมั่นตลอดห่วงโซ่อุปทาน แต่ยังเป็นใบเบิกทางสู่คู่ค้าระดับสากล ภารกิจของ GIT คือการผลักดันผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ให้ก้าวสู่ "มาตรฐานความยั่งยืน" ผ่านกรอบ GIT Standard และการเตรียมพร้อมเข้าสู่มาตรฐานสากล เพื่อแปลงคุณภาพชิ้นงานให้เป็นความน่าเชื่อถือที่ตรวจสอบได้ และขับเคลื่อนธุรกิจไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งทั้งในประเทศและตลาดโลก นอกจากนี้ GIT จึงออกแบบกรอบการยกระดับอุตสาหกรรมอัญมณีไทยอย่างเป็นระบบโดยยึดหลักการเชื่อมโยงตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบจนถึงปลายทางการค้าโลก ด้วยกลไกเชิงปฏิบัติการ 3 แกนหลักที่ผสมผสานกันอย่างมีเหตุผลและเป็นรูปธรรม ดังนี้ 1. GIT Standard สำหรับห้องปฏิบัติการ รากฐานของความน่าเชื่อถือทางวิชาการและการค้า เป็นการยกระดับการทดสอบการวิเคราะห์ และกระบวนการออกหนังสือรับรองคุณภาพ 2. แนวทางด้าน Due Diligence และ Traceability สำหรับผู้ประกอบการ ระบบ ธรรมาภิบาลภายในสถานประกอบการที่ครอบคลุมการบริหารแรงงานอย่างเป็นธรรม การจัดการความปลอดภัยของสถานที่ทำงาน ระบบเอกสารที่เชื่อมโยงย้อนกลับได้ กระบวนการติดตามแหล่งที่มา (Traceability) ทั้งหมดนี้เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อ และ 3. การเตรียมความพร้อมสู่มาตรฐานสากลเพื่อการส่งออก GIT มีแนวทางสนับสนุนให้ ผู้ประกอบการไทยตอบสนองต่อมาตรฐานระดับสากลอย่าง Responsible Jewellery Council (RJC) ซึ่งครอบคลุมประเด็นสำคัญตั้งแต่สิทธิมนุษยชน แหล่งที่มาของวัตถุดิบ การดูแล สิ่งแวดล้อม ไปจนถึงความปลอดภัยในกระบวนการผลิต
อย่างไรก็ตาม จากโครงสร้างดังกล่าวคาดว่าจะช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงคู่ค้าระดับนานาชาติที่ให้ความสำคัญกับการจัดซื้อแบบมีความรับผิดชอบได้มากขึ้น พร้อมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและแบรนด์ที่ผ่านการรับรองจากระบบตรวจสอบที่เป็นที่ยอมรับและช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและชื่อเสียงที่อาจเกิดขึ้นจากประเด็นแรงงานและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว เพื่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยต่อไป
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)
3. ราคาผู้ผลิตไทยหดตัว สินค้าล้นตลาด-บาทแข็ง (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 3 ตุลาคม 2568)
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ภาพรวมดัชนีราคาผู้ผลิตของไทย เดือนกันยายน 2568 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2567 หดตัวจากราคาสินค้าในทุกหมวด เท่ากับ 108.2 เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2567 ลดลง 2.4% โดยราคาสินค้าหมวดผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร จากอุปทานส่วนเกินในประเทศสูงตามปริมาณผลผลิตที่ออกมาก หมวดผลิตภัณฑ์จากเหมือง และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มีทิศทางเคลื่อนไหวตามอุปสงค์ของตลาดโลกที่ชะลอตัว ประกอบกับค่าเงินบาทที่ยังคงแข็ง ทั้งนี้ สำหรับแนวโน้มดัชนีราคาผู้ผลิตไตรมาสที่ 4 ปี 2568 มี แนวโน้มหดตัวในอัตราชะลอลงจนถึงช่วงกลางของไตรมาส โดยมีปัจจัยสำคัญจาก 1. สินค้าและวัตถุดิบราคาถูกจากต่างประเทศที่มีแนวโน้มเข้ามาเพิ่มขึ้น กดดันราคาสินค้าของผู้ผลิตในประเทศให้ลดลง 2. การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในการหาตลาดปลายทางใหม่ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออก กดดันราคาสินค้าในภาคการส่งออก 3. ค่าเงินบาทที่ยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศคู่ค้าสำคัญ และ 4. ภาพรวมกำลังซื้อของตลาดในประเทศที่ลดลงกดดันราคาสินค้าของผู้ผลิตในประเทศให้ลดลง
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงท้ายของไตรมาส ดัชนีราคาผู้ผลิต อาจขยายตัวเล็กน้อยจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ประกอบกับการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ทั้งนี้ จะต้องมีการติดตามและประเมินผลสถานการณ์ภาคการผลิตอย่างใกล้ชิด
ข่าวต่างประเทศ
4. PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย.ยังโตแกร่ง สวนทางภาคการผลิตซบเซา (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 3 ตุลาคม 2568)
S&P Global เปิดเผยผลสำรวจ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้าย ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 53.3 ในเดือนกันยายน 2568 จาก 53.1 ในเดือนสิงหาคม และนับเป็นเดือนที่ 11 ที่ดัชนีอยู่สูงกว่าระดับ 50.0 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคบริการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อน การเติบโตนี้ คือ ยอดสั่งซื้อใหม่ในประเทศที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สวนทางกับยอดสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ลดลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ขณะเดียวกัน ภาคบริการยังมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพื่อรองรับยอดขายที่สูงขึ้น ด้านความเชื่อมั่นทางธุรกิจก็พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน โดยผู้ประกอบการมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแผนการขยายกิจการและการเปิดตัวสินค้าใหม่ ทั้งนี้ ถึงแม้อัตราการเพิ่มขึ้นของต้นทุนจะชะลอตัวลงบ้าง แต่บริษัทต่างๆ ยังคงเผชิญกับต้นทุนค่าแรง ค่าวัตถุดิบ และค่าเชื้อเพลิงที่อยู่ในระดับสูง ทำให้จำเป็นต้องผลักภาระไปยังผู้บริโภคด้วยการปรับขึ้นราคา ซึ่งเมื่อมองในภาพรวม เศรษฐกิจกลับไม่สดใสนัก โดยดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นสุดท้ายของญี่ปุ่นได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 51.3 ในเดือนกันยายน จาก 52.0 ในเดือนสิงหาคม ถือเป็นการเติบโตในภาพรวมที่ชะลอตัวที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม โดยมีสาเหตุหลักมาจากการหดตัวอย่างหนักของภาคการผลิต
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์จาก S&P Global Market Intelligence ให้ความเห็นว่า ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการเติบโตในปัจจุบันมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากอุปสงค์ในประเทศที่แข็งแกร่งขึ้น สังเกตได้จากทั้งผู้ประกอบการในภาคการผลิตและภาคบริการต่างก็มียอดสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)