ข่าวประจำวันที่ 6 ตุลาคม 2568

ข่าวในประเทศ

A person smiling at the camera

AI-generated content may be incorrect.

นางอารดา เฟื่องทอง

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ

 

1. ค้าต่างประเทศการแผนปี 69 (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 6 ตุลาคม 2568)

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงแผนการทำงานในปีงบประมาณ 2569 ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ว่า งานเร่งด่วนที่กรมจะต้องดำเนินการ ก็คือ การรับมือกฎเกณฑ์ใหม่ของสหรัฐ ในเรื่องกฎถิ่นกำเนิดสินค้า และการป้องกันการสวมสิทธิ์ถิ่นกำเนิดสินค้าไทย โดยจะทำการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการส่งออกไปสหรัฐ โดยนำปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอมาช่วยตรวจสอบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ รองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นในอนาคต และรองรับกฎถิ่นกำเนิดสินค้าใหม่ของสหรัฐ นอกจากนี้ จะเร่งเชื่อมข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แลกเปลี่ยนข้อมูลและเชื่อมโยงฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดูแลเรื่องถิ่นกำเนิดสินค้าเป็นไปตามเงื่อนไขที่สหรัฐกำหนด และเอื้อต่อการส่งออกไปสหรัฐ ขณะเดียวกันกรมจะเร่งจัดทำระบบการให้บริการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับการส่งออกไปสหรัฐ (ฟอร์ม ซี/โอ สหรัฐ) หากเงื่อนไขเกี่ยวกับกฎถิ่นกำเนิดสินค้ามีความชัดเจน ก็จะเร่งจัดทำระบบให้แล้วเสร็จ โดยคาดว่าผู้ประกอบการจะสามารถใช้งานระบบ ดีเอฟที สมาร์ต ซี/โอ เพื่อขอไปสหรัฐได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 และยังเร่งประชาสัมพันธ์และจัดอบรมสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ใหม่ของสหรัฐ กฎถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม สำหรับการเยียวยาทางการค้า เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะปรับปรุงกระบวนการพิจารณาให้เร็วขึ้น ทั้งการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (เอดี-ซีวีดี) การป้องกันการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (เซฟการ์ด) การป้องกันการหลีกเลี่ยงเอดี-ซีวีดี โดยนำเอไอมาใช้ตรวจสอบในส่วนของการยื่นคำขอ และร่นกระบวนการไต่สวนให้เร็วขึ้น ส่วนการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย กรมอยู่ระหว่างการทบทวนคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย หลังคำสั่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ว่าจะดำเนินการอย่างไร แต่ในระหว่างนี้ จะยังคงร่วมมือกับ 17 หน่วยงานดำเนินการแก้ไขการนำเข้าสินค้าไม่ได้คุณภาพ เพื่อปกป้องผู้บริโภค และแก้ไขปัญหานอมินีที่กระทบต่อธุรกิจไทยต่อไป

 

A person in a suit

AI-generated content may be incorrect.

นายดุสิต อนันตรักษ์

รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม

 

2. พัฒนายานยนต์พลังงานใหม่ อุตฯ ยกทีมร่วมวงประชุม WNEVC แลกเปลี่ยนข้อมูล (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 6 ตุลาคม 2568)

นายดุสิต อนันตรักษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) พร้อมด้วย สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) สถาบันยานยนต์ เข้าร่วมงาน 2025 World New Energy Vehicle Congress (WNEVC) หรือการประชุมยานยนต์พลังงานใหม่ระดับโลก ประจำปี 2025 ณ เมืองไห่โข่ว มณฑลไห่หนาน เมื่อวันที่ 27-29 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา สำหรับงาน 2025 World New Energy Vehicle Congress (WNEVC) จัดโดย China Association for Science and Technology และ รัฐบาลมณฑลไหหลำ (ไห่หนาน) เพื่อสร้างฉันทามติและกระชับความร่วมมือผ่านการสนทนาและแลกเปลี่ยนในการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ในระดับโลกผ่านการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในภูมิภาค อีกทั้ง ยังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี นวัตกรรม และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์พลังงานใหม่ ปีนี้มีหัวข้อหลักคือ "การเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืน" เพื่อรวบรวมผู้กำหนดนโยบายผู้นำในอุตสาหกรรมและนักวิจัยจากทั่วโลก เพื่อส่งเสริมความร่วมมือนวัตกรรมและการเปลี่ยนผ่านสู่การเคลื่อนที่สีเขียวและอัจฉริยะ ทั้งนี้ คณะผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรมได้เข้าร่วมการประชุมในเรื่อง Sustainable Development and Global Cooperation in the Automotive Industry เจ้าภาพได้เชิญผู้ผลิตรถยนต์ค่ายเยอรมัน ญี่ปุ่น และจีน รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ สถาบัน และมหาวิทยาลัย มาร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและอัปเดตเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ใช้ในรถยนต์แห่งอนาคต นวัตกรรมเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อ Supply Chain และ Eco System ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบันจึงต้องปรับตัวและต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ในประเทศและระดับสากล นอกจากนี้ ยังมีการประชุมใหญ่เรื่อง Joint Efforts for Technology Innovation โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้นำเสนอเรื่อง Thailand's Strategic Roadmap for New Energy Vehicle and Supply Chain Development เนื้อหาหลักจะกล่าวถึง ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่มีจุดแข็งด้าน Supply Chain ทั้งผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุตสาหกรรมต้นน้ำที่สามารถสนับสนุนการขับเคลื่อนและปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในช่วง 4-5 ปีนี้ผู้ผลิตรถยนต์ค่ายจีนได้ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์เพื่อการส่งออกไปยังตลาดอาเซียน ยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ส่งผลให้ BEV เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงปี 2020-2024 ซึ่ง 80% เป็นรถไฟฟ้าจากค่ายจีน

อย่างไรก็ตาม สำหรับทิศทางนโยบายของไทยได้มุ่งเน้นให้การส่งเสริมการผลิตยานยนต์มลพิษต่ำ การสร้างห่วงโซ่อุปทานและโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ เพื่อรองรับการวิจัยพัฒนาและการผลิตยานยนต์สมัยใหม่ในไทย ตามนโยบาย 30@30 ของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ควบคู่กับการปรับเปลี่ยนฐานการผลิตในปัจจุบันที่ยังเป็นรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ไปสู่ยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (xEV) ต่อไป

 

A person in a suit and tie

AI-generated content may be incorrect.

นายอำนาจ สุขประสงค์ผล

นายกสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย

 

3. จับตาจีน-เวียดนาม ตั้งโรงแป้งมันในลาวแข่งไทย (ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, ประจำวันที่ 6 ตุลาคม 2568)

นายอำนาจ สุขประสงค์ผล นายกสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย เปิดเผยว่า สมาคมได้ติดตามการส่งออกแป้งมันสำปะหลังของเวียดนามและ สปป.ลาว มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น เนื่องจากขณะนี้มีนักลงทุนจีน และเวียดนาม เข้าไปลงทุนโรงแป้งสำปะหลังใน สปป.ลาว ซึ่งคาดว่าน่าจะมีโรงงานประมาณ 25-26 แห่ง และเมื่อดูทิศทางตัวเลขการส่งออก โดยเฉพาะเรื่องราคาและต้นทุนที่ถูกกว่าไทย และเวียดนามค่าเงินของเวียดนามอ่อนค่าด้วย ก็ทำให้ส่งออกโต โดยเมื่อเทียบราคาแป้งมันสำปะหลัง พบว่า ของเวียดนามจะถูกกว่าไทย 40-50 เหรียญสหรัฐต่อตัน แม้ศักยภาพของไทยจะแข่งขันได้ แต่ก็ยังถือว่าแข่งขันได้น้อยเมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยราคาแป้งมันสำปะหลังของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 390-400 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยเวียดนามเฉลี่ยอยู่ที่ 340-350 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งส่วนใหญ่เวียดนามส่งออกแป้งมันไปตลาดจีนถึง 90% เพราะเวียดนามพึ่งพาตลาดจีนเป็นหลัก ในขณะที่ไทยส่งออกแป้งมันไปตลาดจีน คิดเป็น 60% ของผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่มีการส่งออกไปในตลาดจีน ทั้งนี้ เมื่อดูปริมาณการส่งออกแป้งมันสำปะหลังของไทยในช่วง 8 เดือนแรก ที่ส่งไปในตลาดจีน พบว่า มีปริมาณ 1.18 ล้านตัน เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 1.23 ล้านตัน ส่วนการส่งออกทั้งปีคาดว่าจะใกล้เคียงกับปีที่แล้ว 1.8 ล้านตัน ขณะที่เวียดนามส่งออกอยู่ที่ 1.6 ล้านตัน ซึ่งเมื่อดูปริมาณแล้ว เวียดนามส่งออกได้เยอะกว่าไทย และหากจะให้ตลาดแป้งมันของไทยแข่งขันได้ ปัจจัยสำคัญคือการดูแลค่าเงินบาท โดยมองว่าอัตราที่เหมาะสม 33-34 บาทต่อเหรียญสหรัฐ รวมไปถึงการแก้ไขเรื่องผลผลิตต่อไร่ที่ควรจะผลักดันให้มีปริมาณเพิ่มขึ้น อีกทั้งเรื่องของเชื้อแป้ง ซึ่งปัจจุบันเชื้อแป้งของไทยต่ำลง โดยสาเหตุมาจากเรื่องของโรคใบด่างที่ต้องเร่งแก้ไข ส่วนการส่งออกมันเส้นของไทยค่อนข้างที่จะเติบโต โดย 8 เดือนแรกปี 2568 มีการส่งออกมันเส้น เฉลี่ยอยู่ที่ 3.6 ล้านตัน และคาดว่าทั้งปีจะสามารถส่งออกได้ 4.4-4.5 ล้านตัน ทั้งนี้ เป็นผลมาจากราคามันสำปะหลังของไทยถูกลงสามารถแข่งขันกับข้าวโพดในจีนได้ ซึ่งจีนนำเข้ามันเส้นไปทำเอทานอลและอาหารสัตว์ โดยกลุ่มอาหารสัตว์จะมีการเติบโตมากกว่า โดยคู่แข่งมันเส้นของไทยยังเป็นเวียดนาม แต่ไทยยังแข่งขันได้ ประกอบกับราคาอยู่ใกล้เคียงกัน โดยมันเส้นไทยอยู่ที่ 210-220 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่วนเวียดนามอยู่ที่ 210-215 เหรียญสหรัฐต่อตัน

อย่างไรก็ตาม คาดหวังให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง หรือ นบมส. ซึ่งได้มีการอนุมัติงบประมาณในการเร่งจัดทำท่อนพันธุ์สะอาด เพื่อกระจายให้กับเกษตรกร โดยต้องการให้รัฐบาลชุดปัจจุบันเดินหน้าให้ได้โดยเร็ว เพราะหากเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนามที่มีการยกระดับท่อนพันธุ์มันสำปะหลังมีความต้านทานโรคมากขึ้น อีกทั้งผลผลิตต่อไร่สูง เชื้อแป้งเพิ่มขึ้น จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลอาจจะต้องเร่งแก้ไข รวมไปถึงช่วยลดต้นทุนการผลิตให้กับภาคเกษตรกร รวมไปถึงแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน เพื่อให้ไทยแข่งขันได้

 

ข่าวต่างประเทศ

A red flag with a yellow star

AI-generated content may be incorrect.

 

4. เวียดนามคาดการณ์เศรษฐกิจ Q3/68 โตแตะ 8.22% (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 6 ตุลาคม 2568)

เหงียน ฟาน ถัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเวียดนาม เปิดเผยว่า เศรษฐกิจเวียดนามมีแนวโน้มว่าจะขยายตัว 8.22% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าในไตรมาสที่สาม ปีนี้ เนื่องจากได้แรงหนุนจากการเติบโต 10% ในภาคการผลิต โดยการเติบโตในช่วงเดือนมกราคม-กันยายน 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 7.84% ขณะที่ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น 3.38% ในเดือนกันยายน ตามการประมาณการของกระทรวง สำหรับอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของเวียดนามฟื้นตัวและขยายตัว 9.8% ในไตรมาสที่สาม ขณะที่การเติบโตในภาคบริการปรับตัวขึ้น 8.54%

อย่างไรก็ตาม ทางด้านฝ่าม ทันห์ ฮา รองผู้ว่าการธนาคารกลางเวียดนา กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์กำลังอยู่ในทิศทางขาลง และเรียกร้องให้ปรับลดลงเพิ่มเติม พร้อมระบุว่า สถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองโลกในปีนี้ยังคงผันผวน ทั้งจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ความเสี่ยงของสงครามการค้า และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งนี้ เวียดนามตั้งเป้าให้เศรษฐกิจเติบโต 8.3-8.5% ในปีนี้ เร่งตัวจาก 7.09% ในปีก่อน แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐจะกำหนดภาษีนำเข้า 20% กับเวียดนามก็ตาม โดยการขยายตัวของสินเชื่อถือเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)