ข่าวในประเทศ
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ
ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
1. กนอ.ปลื้มโรงงานในนิคมฯ มูลค่าเศรษฐกิจ 8.62 แสนล. (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 7 ตุลาคม 2568)
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยในงานแถลงผลลัพธ์เชิงสังคมครั้งสำคัญ "I-EA-T IMPACT 2025" ภายใต้แนวคิด "เชื่อมโยงคุณค่า สู่อนาคตยั่งยืน" (Connecting Social Value to a Sustainable Future) ว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมในยุคปัจจุบันไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ต้องสอดคล้องกับคุณค่าทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นอีกก้าวสำคัญของการยกระดับนิคมอุตสาหกรรมไทยสู่มาตรฐานโลก ที่ไม่ได้วัดเพียงผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ แต่ยังสะท้อนถึงคุณค่าทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ส่งมอบให้แก่ประเทศและประชาชน ทั้งนี้ สำหรับโครงการนำร่องในปี 2568 ครอบคลุม 14 นิคมอุตสาหกรรมและ 1 ท่าเรืออุตสาหกรรม ที่ กนอ.บริหารงานเอง ผลลัพธ์ที่ได้สะท้อนถึงความสำเร็จในหลายมิติ ดังนี้ มิติเศรษฐกิจ เครื่องยนต์สร้างโอกาส จากการดำเนินงานของ 1,344 โรงงานอุตสาหกรรม ในพื้นที่ 15 แห่ง สามารถประเมินโอกาสมูลค่าทางเศรษฐกิจได้รวมกว่า 862,581 ล้านบาท สร้างงาน 306,070 ตำแหน่ง กระจายโอกาสสู่แรงงานไทยทั่วประเทศ เครือข่ายคู่ค้า 130,105 ราย สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ขณะที่มิติสังคมจากโรงงานสู่พันธมิตรชุมชน มีโครงการเพื่อชุมชน 3,103 โครงการ ครอบคลุมการพัฒนาคุณภาพชีวิต การศึกษา สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม สร้างมูลค่าทางสังคม 12,560 ล้านบาท ยกระดับวิสาหกิจชุมชน 405 กลุ่ม กระจายใน 11 จังหวัด สร้างรายได้และความเข้มแข็งให้ชุมชนฐานราก อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ยังมีมิติความปลอดภัยและมิติสิ่งแวดล้อม
ดร.เพิก เลิศวังพง
รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.)
2. บริหารจัดการผลผลิตยาง 200,000 ตัน ต่อปี (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 7 ตุลาคม 2568)
ดร.เพิก เลิศวังพง รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่า ได้ร่วมลงนาม MOU กับบริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมมือทางด้านการบริหารจัดการผลผลิตยางพารา เป็นการร่วมมือกันในการบริหารจัดการผลผลิตยางพารา เพื่อให้เกิดความสมดุลและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดย กยท. มีความพร้อมสนับสนุนการรวบรวมผลผลิตยาง ตรวจสอบแหล่งผลิต การประเมินความเสี่ยง ตลอดจนออกเอกสารข้อมูลการซื้อขายยางให้แก่ผู้ซื้ออย่างครบถ้วน เป็นไปตามมาตรการ EUDR ซึ่งดำเนินงานโดยตลาดกลางยางพาราและตลาดเครือข่ายของ กยท. ทั่วประเทศ ซึ่งการลงนามครั้งนี้ กยท. จะรวบรวมผลผลิตยางพาราอย่างน้อย 200,000 ตันต่อปี เชื่อมโยงสู่ผู้ประกอบการโดยตรง คือ บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จะเข้ามานำผลผลิตยางพาราไปจัดจำหน่ายทั้งในและนอกราชอาณาจักร พร้อมทั้งตรวจสอบคุณสมบัติยางพาราให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่ตลาดยอมรับ ซึ่งเป็นช่องทางระบายผลผลิต ช่วยให้เกษตรกรชาวสวนยาง สถาบันเกษตรกรฯ และผู้ประกอบกิจการยาง มีตลาดซึ่งเป็นแหล่งรองรับผลผลิตยางพาราที่เป็นธรรมเพิ่มขึ้นในอนาคต นำไปสู่การสร้างเสถียรภาพด้านราคายางต่อไป
อย่างไรก็ตาม นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการบริหารจัดการยางพาราทั้งระบบ สร้างสมดุลให้เกิดขึ้นในอนาคต ยกระดับรายได้ให้เกษตรกรชาวสวนยางไปจนถึงพัฒนาระบบตลาดและภาคอุตสาหกรรมยางพาราไทย เพิ่มโอกาสการแข่งขันยางไทยในตลาดโลก และขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างยั่งยืน
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
3. บีโอไอเปิดไฟเขียว 'โฮม่า' ตั้งฐานผลิตตู้เย็นตู้แช่ส่งออกไปยุโรป (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 7 ตุลาคม 2568)
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการซึ่งได้รับมอบอำนาจจากบอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติคำขอรับการ ส่งเสริมการลงทุนของบริษัทโฮม่า แอพไพลแอนซ์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ผลิตตู้เย็นและตู้แช่อันดับ 4 ของโลก และเป็นผู้ส่งออกตู้เย็นอันดับ 1 ของจีน ซึ่งได้ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยตั้งฐานการผลิตตู้เย็นอัจฉริยะและตู้แช่เย็นที่มีมาตรฐานการประหยัดพลังงานสหภาพยุโรป (EU Energy Label) มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 3,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี โครงการนี้จะมีการจ้างงานบุคลากรไทยกว่า 1,400 คน ในระยะแรก และจะเพิ่มเป็นกว่า 3,000 คน ภายใน 1-2 ปีข้างหน้า โดยมีแผนใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content) กว่า 50-60% ทั้งนี้ โฮม่า (Homa) เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องทำ ความเย็นระดับโลก และเป็นผู้ผลิต (OEM) ให้กับแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำจำนวนมาก เช่น Electrolux, Samsung, Sharp, Whirlpool โดยโครงการของโฮม่าที่เข้ามาลงทุนในไทยจะมีกำลังการผลิตประมาณ 1.7 ล้านเครื่องต่อปี ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ตู้เย็นประสิทธิภาพสูง ตู้เย็นอัจฉริยะ และ ตู้แช่มาตรฐานสูง เพื่อการส่งออกไปยังตลาดยุโรปเป็นหลัก จะมีมูลค่าการส่งออกจากฐานผลิตในไทยกว่า 12,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อรองรับการเติบโต ของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะทั่วโลกที่ปัจจุบัน มีมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มเป็นกว่า 2.6 ล้านล้านบาท ในปี 2577 หรือเติบโตเฉลี่ย 9% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2565 - สิงหาคม 2568 มีคำขอรับส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้ารวม 568 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 2 แสนล้านบาท โดยผู้ผลิตรายใหญ่จากจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย แล้วทั้ง Midea, Haier และ Hisense มีการจ้างงานบุคลากรไทยรวมมากกว่า 12,000 คน
ข่าวต่างประเทศ
4. BOJ คงมุมมองเศรษฐกิจ 8 ภูมิภาค แต่ปรับลดฮอกไกโด เหตุนักท่องเที่ยวใช้จ่ายน้อยลง (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 7 ตุลาคม 2568)
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยว่า ยังคงการประเมินภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่น 8 จาก 9 ภูมิภาคทั่วประเทศไว้ตามเดิม แม้สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีศุลกากร โดยภูมิภาคเดียวที่ BOJ ปรับลดมุมมอง คือ ฮอกไกโด เนื่องจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งเป็นหัวใจหลักของภูมิภาคซบเซาลง สาเหตุสำคัญ มาจากการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายน้อยลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวเอเชีย โดยรายงานเศรษฐกิจระดับภูมิภาครายไตรมาส หรือ "รายงานซากุระ" ระบุว่า เศรษฐกิจทั้ง 9 ภูมิภาค "กำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป" "ปรับตัวดีขึ้น" หรือ "ปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป" แม้บางพื้นที่จะแสดงสัญญาณอ่อนตัวลงบ้าง แต่โดยรวมแล้วยังคงใช้ถ้อยคำประเมินเช่นเดียวกับครั้งก่อน ทั้งนี้ สำหรับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่มีต่อการส่งออกและการผลิตนั้น หลายสาขารายงานตรงกันว่า สถานการณ์ดังกล่าวยังไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางบริษัทต่างๆ ที่จะผลักภาระต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้นไปรวม ในราคาขายสินค้า โดยรายงานยังระบุอีกว่า ภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ทำให้ผู้บริโภครัดเข็มขัดมากขึ้น ซึ่งข้อมูลจากซูเปอร์มาร์เก็ตชี้ว่าลูกค้าซื้อของน้อยชิ้นลง ส่วนร้านอาหารที่ขึ้นราคาก็พบว่ามีลูกค้าน้อยลงเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม BOJ เผยแพร่รายงานซากุระฉบับล่าสุดนี้ก่อนจะมีการประชุมนโยบายการเงินในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2568 ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินจะหยิบยกประเด็นการกลับมาขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)