ข่าวในประเทศ
ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
1. รัฐมนตรีอุตสาหกรรมหนุน SME นครศรีธรรมราช เข้าถึงทุน-ยกระดับเศรษฐกิจ (ที่มา: บ้านเมืองออนไลน์, ประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2568)
ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมคณะ ลงพื้นที่ปฏิบัติราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยเข้าร่วมประชุมและมอบนโยบายการทำงานแก่คณะผู้บริหารธนาคาร ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่สาขาจังหวัดนครศรีธรรมราช ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) โดยมีนายสมชาย ลีหล้าน้อย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช หัวหน้าส่วนราชการ ภาคเอกชน และเจ้าหน้าที่ ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ SME D Bank จะมุ่งมั่นสนับสนุนแหล่งทุนสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย เพื่อนำไปยกระดับธุรกิจ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชที่มีศักยภาพสูงด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งเกษตรกรรม การแปรรูปสินค้าเกษตร การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม พลังงานชีวมวล และอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเอสเอ็มอีในพื้นที่มีศักยภาพสูง ทั้งด้านอาหารแปรรูป ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่สามารถต่อยอดสู่ตลาดระดับประเทศและต่างประเทศได้ หากได้รับการสนับสนุนด้านทุน ความรู้ และเทคโนโลยี
อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมยังกล่าวชื่นชมโครงการ "คนละครึ่ง พลัส" ของรัฐบาล ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ และย้ำถึงความสำคัญในการสร้างโอกาสให้ประชาชนและเยาวชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน พร้อมเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมใหม่ สร้างการเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ทั้งนี้ SME D Bank ดำเนินงานสอดคล้องกับนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรมในการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุน พร้อมพัฒนาธุรกิจครบวงจร ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ส่งเสริมธุรกิจสีเขียว และเตรียมความพร้อมรับเทรนด์อุตสาหกรรมอนาคต
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์
อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
2. พาณิชย์ผนึกสมาคมอินฟลู ปั้นมาตรฐานทางจริยธรรม (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2568)
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้จัดประชุมความร่วมมือกับสมาคมอินฟลูเอนเซอร์ไทย เพื่อหารือแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมอินฟลูเอนเซอร์ไทยให้เติบโตอย่างมีมาตรฐานและยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการยกระดับอินฟลูเอนเซอร์ไทยผ่านการจัดทำมาตรฐานทางจริยธรรมร่วมกับสภาคุ้มครองผู้บริโภค และเชื่อมโยงอินฟลูเอนเซอร์กับผู้ประกอบการ ในการจัดโครงการอบรมด้านการประชาสัมพันธ์สินค้า การผลิตคอนเทนต์ และการทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ รวมถึงผลักดันโอกาสของอินฟลูเอนเซอร์ไทยสู่ตลาดต่างประเทศ ทั้งนี้ สมาคมฯ เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ ที่ปัจจุบันมีมากกว่า 3 ล้านราย ทั่วประเทศ จึงได้ดำเนินการสร้างเครือข่ายและรวบรวมข้อมูลอินฟลูเอนเซอร์ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมดังกล่าว พร้อมแนะนำแนวทางในการเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่มีทิศทางการนำเสนอเนื้อหาสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ และใช้อินฟลูเอนเซอร์รายย่อย ซึ่งมีค่าใช้จ่ายไม่สูงแต่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ตรงจุด รวมถึงแนะนำให้อินฟลูเอนเซอร์ ปรับตัวตามอัลกอริทึมของแพลตฟอร์ม โดยนิยมใช้รูปแบบ 3 คอนเทนต์ 1 ไลฟ์ เพื่อเพิ่มการมองเห็นของช่องทางออนไลน์ และขยายตลาดให้กว้างขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรูปแบบการค้ามีการเปลี่ยน แปลงไปอย่างมาก หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคคืออินฟลูเอนเซอร์ ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดออนไลน์และอีคอมเมิร์ซทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยอุตสาหกรรมครีเอเตอร์ทั่วโลกเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีผู้สร้างคอนเทนต์มากกว่า 60 ล้านคนทั่วโลก สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี สะท้อนให้เห็นถึงพลังของคอนเทนต์ที่สามารถสร้างแรงจูงใจและเชื่อมโยงผู้บริโภคกับสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล
เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
3. กนง.คงดอกเบี้ยที่ 1.50% คาดปีหน้าเศรษฐกิจโต 1.6% (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2568)
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยผลการประชุม กนง. ในวันที่ 8 ตุลาคม 2568 ว่า คณะกรรมการฯ มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี โดยมี 2 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.50% เป็น 1.25% โดยคณะกรรมการฯเห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมาอยู่ระหว่างการส่งผ่านไปยังภาคเศรษฐกิจ และกรรมการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับจังหวะเวลา และประสิทธิผลของนโยบายการเงินภายใต้ขีดความสามารถของนโยบายการเงิน(policy space) ที่มีจำกัด จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ ขณะที่กรรมการ 2 ท่าน เห็นว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้เพื่อให้ภาวะการเงินสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาด้านสภาพคล่องและภาระหนี้ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs และครัวเรือน กลุ่มเปราะบาง ซึ่งเศรษฐกิจในปี 2568 และปี 2569 มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่เคยประเมินไว้ โดยภาคส่งออกเริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ขณะที่การท่องเที่ยวและอุปสงค์ในประเทศ มีแนวโน้มชะลอลงก่อนจะทยอยฟื้นตัวในระยะข้างหน้า ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปต่ำกว่าที่ประเมินไว้จากราคา ในหมวดพลังงานและอาหารสดเป็นสำคัญ แต่ยังไม่เห็นสัญญาณการปรับลดลงของราคาสินค้าเป็นวงกว้าง ด้านสินเชื่อรวมยังหดตัวและคุณภาพสินเชื่อกลุ่มเปราะบางยังด้อยลง ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ขยายตัว 2.2% และปี 2569 มีแนวโน้มขยายตัว 1.6% โดยเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัวดีตามที่ประเมินไว้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งผลิตและส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 และปี 2569 มีแนวโน้มชะลอลงจากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวจะทยอยฟื้นตัว อีกทั้งการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ในระดับหนึ่ง โดยได้รับแรงส่งเพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการส่งออกหมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งคณะกรรมการฯเห็นควรให้ติดตามผลกระทบที่ชัดเจนของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ความต่อเนื่องของการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และการปรับตัวของธุรกิจ SMEs ที่ยังเผชิญปัญหาด้านการแข่งขันการเข้าถึงสินเชื่อ และต้นทุนทางการเงิน
อย่างไรก็ตาม ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2568 และปี 2569 มีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ 0.0% และ 0.5% ตามลำดับ แต่คาดว่าจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงต้นปี 2570 โดยเงินเฟ้อที่ปรับลดลงเป็นผลจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญ โดยเฉพาะจากราคาน้ำมันดิบโลก และมาตรการลดราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ รวมถึงราคาอาหารสดที่ปรับลดลงจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ส่วนความเสี่ยงด้านเงินฝืดยังอยู่ในระดับต่ำสะท้อนจากราคาสินค้าและบริการส่วนมากที่ยังปรับเพิ่มขึ้นหรือไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2568 และปี 2569 อยู่ที่ 0.9% ทั้ง 2 ปี และอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (headline inflation expectations) ในระยะปานกลางของภาคเอกชนยังยึดเหนี่ยวในกรอบเป้าหมาย คณะกรรมการฯเห็นควรให้ติดตามพัฒนาการของราคาสินค้าและบริการ เพื่อประเมินความเสี่ยงของภาวะเงินฝืดในระยะต่อไป
ข่าวต่างประเทศ
4. ผลผลิตอุตสาหกรรมเยอรมนีเดือนส.ค. ร่วง 4.3% MoM หนักกว่าคาด (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2568)
สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนี เปิดเผยว่า ผลผลิตอุตสาหกรรมของเยอรมนี ในเดือนสิงหาคม 2568 ลดลง 4.3% จากเดือนก่อนหน้า มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลงเพียง 1.0% สาเหตุหลักมาจากอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งผลิตรถยนต์ได้น้อยลงอย่างมาก ทั้งนี้ เมื่อดูข้อมูลเปรียบเทียบระยะ 3 เดือน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่มีความผันผวนน้อยกว่า พบว่า ผลผลิตช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2568 ลดลงจากช่วง 3 เดือนก่อนหน้านั้นอยู่ 1.3%
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมยานยนต์ ถือเป็นภาคส่วนที่ใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมเยอรมนี โดยสำนักงานสถิติฯ ชี้ว่า เฉพาะอุตสาหกรรมนี้มีผลผลิตลดลงถึง 18.5% จากเดือนก่อนหน้า สาเหตุมาจากหลายโรงงานปิดทำการประจำปีในช่วงวันหยุดงาน และบางส่วนก็มีการปรับเปลี่ยนสายการผลิตไปพร้อมกัน
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)