ข่าวประจำวันที่ 20 ตุลาคม 2568

ข่าวในประเทศ

A person with her arms crossed

AI-generated content may be incorrect.

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม

อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา

 

1. อึ้ง! ไทยจดสิ่งประดิษฐ์ 10% (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 20 ตุลาคม 2568)

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า สถิติการยื่นคำขอจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทยช่วง 9 เดือนปี 2568 มีสูงถึง 55,699 คำขอเพิ่มขึ้น 7.46% และมีการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ 10,500 รายการ รวมเป็น 66,199 คำขอ ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจ คือ สิทธิบัตรการประดิษฐ์ ได้ยื่น 6,161 คำขอ ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อน โดยผู้ยื่นคำขอส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ 90% เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฟินแลนด์ เป็นต้น แต่คนไทยยังมีปริมาณน้อยเพียง 10% เท่านั้น สำหรับนวัตกรรมที่มี  การยื่นขอรับความคุ้มครองสิทธิบัตรการประดิษฐ์มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ วัสดุเหล็กกล้า 172 คำขอ ซึ่งครองอันดับ 1 สองปีติดต่อกัน สะท้อนให้เห็นถึงอุตสาหกรรมวัสดุและการก่อสร้างที่มีการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง รองลงมา คือ นวัตกรรมแอนติบอดี้และยาชีววัตถุ 88 คำขอ สะท้อนความสนใจที่เพิ่มขึ้นในด้านเทคโนโลยีชีวภาพและการวิจัยยา อันดับสาม คือ นวัตกรรมแบตเตอรี่และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง 65 คำขอ สะท้อนภาพรวม  ของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมา ขณะที่สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ มีการยื่นคำขอ 4,843 คำขอ เพิ่มขึ้น 15.34% เทียบกับปี 67 ที่มี 4,199 คำขอ โดยมีสัดส่วนผู้ยื่นคำขอคนไทย 67% ส่วนใหญ่เป็นสถาบันการศึกษาและต่างชาติ 33% สำหรับการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ยื่นขอรับความคุ้มครองมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ประเภทลวดลายผ้า 759 คำขอ เครื่องประดับ 283 คำขอ และบรรจุภัณฑ์ 263 คำขอ ทั้งนี้ งานออกแบบถือเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่คนไทยมีศักยภาพโด่งดังระดับโลก จึงไม่ควรมองข้ามการนำผลงานมาจดทะเบียนรับความคุ้มครอง เพื่อให้มีกฎหมายเป็นหลักพิงหากเจอปัญหาถูกละเมิดหรือลอกเลียนแบบ

อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ ยังมีช่องทางเร่งรัดที่สามารถจดทะเบียนได้รวดเร็วขึ้น สำหรับสาขาที่เป็นนวัตกรรมแห่งอนาคตและที่ผู้ประกอบการมีความจำเป็นต้องใช้อย่างเร่งด่วน ได้แก่ 1. สิทธิบัตรการประดิษฐ์ อนุสิทธิบัตร ใน 3 นวัตกรรม คือ นวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุข นวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต และนวัตกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยสิทธิบัตรการประดิษฐ์ ลดระยะเวลาจดทะเบียน จาก 38.5 เดือน เหลือ 12 เดือน และอนุสิทธิบัตรจาก 12 เดือน เหลือ 6 เดือน

 

A person sitting at a table

AI-generated content may be incorrect.

ดร.เพิก เลิศวังพง

รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.)

 

2. กยท. จับมือเอกชน สร้างสมดุลระบบยาง (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 20 ตุลาคม 2568)

ดร.เพิก เลิศวังพง รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่า ได้ร่วมลงนาม "บันทึกความเข้าใจเพื่อความร่วมมือทางด้านการบริหารจัดการผลผลิตยางพารา" ร่วมกับ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นการเดินหน้าความร่วมมือเพื่อมุ่งบริหารจัดการผลผลิตยางพาราให้มีความสมดุล สอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่เสถียรภาพด้านราคายางได้ในระยะยาว และเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางพาราในภูมิภาค เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรชาวสวนยาง โดย กยท. จะรวบรวมผลผลิตยางพาราจากตลาดกลางยางพาราและตลาดเครือข่ายของตลาดกลางยางพาราทั่วประเทศ ไม่ต่ำกว่า 5,000 ตันแห้งต่อปี พร้อมตรวจสอบแหล่งผลิตและประเมินความเสี่ยงตามมาตรการ EUDR หรือมาตรฐานอื่นๆ และออกเอกสารข้อมูลการซื้อขายยางให้แก่ผู้ซื้อ คือ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) อย่างครบถ้วน ทั้งนี้ กยท. พร้อมเดินหน้าอย่างเต็มที่เพื่อบริหารจัดการผลผลิตยางพาราให้สมดุล ตรงตามความต้องการของตลาด ควบคู่กับการหาแหล่งรองรับผลผลิตยางพาราที่เป็นธรรมให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง และผู้ประกอบกิจการยางของไทย

อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายเกริกกุล โกกนุทาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายปฏิบัติการด้านยางพาราและปาล์มน้ำมันบริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมสนับสนุนให้เกษตรกรชาวสวนยาง สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง มีแหล่งรองรับผลผลิตยางพาราในราคาที่เป็นธรรม โดยยินดีรวบรวมผลผลิตยางจาก กยท. เพื่อหาผู้ที่มีความต้องการใช้ยางในตลาดก่อนตรวจสอบคุณสมบัติยางตามเกณฑ์มาตรฐานของบริษัทฯ และจัดจำหน่ายผลผลิตสู่ตลาดทั้งในประเทศและนอกราชอาณาจักรต่อไป

 

A person in a suit and tie

AI-generated content may be incorrect.

นายนาวา จันทนสุรคน

รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

 

 3. ส.อ.ท.เรียกร้องอีวีจีนใช้ชิ้นส่วนยานยนต์ของไทย (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 20 ตุลาคม 2568)

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังเยี่ยมชมโรงประกอบโรงแบตเตอรี่ และโรงเชื่อมของ บริษัท บีวายดี ออโต้ (ประเทศไทย) จำกัด (BYD) ณ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 จังหวัดระยอง ว่า การเยี่ยมชมครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ส่งเสริมเทคโนโลยีสีเขียว และสร้างความร่วมมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่โครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ (New S-Curve) อย่างยั่งยืนสะท้อนถึงบทบาทของภาคอุตสาหกรรมไทยในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมดั้งเดิมไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีสะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve Industries) ตามนโยบายของภาครัฐ เพื่อวางรากฐานสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Low-Carbon Economy) และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ทั้งนี้ ส.อ.ท.อยากขอให้ BYD และผู้ผลิตรถอีวีแบรนด์จีนอื่นๆ ไม่มองเพียงแค่เชิงตัวเลขของต้นทุนราคาชิ้นส่วนฯ กับซัพพลายเออร์ไทย เพราะจีนมีความได้เปรียบด้าน Economy of Scale ย่อมได้เปรียบด้านราคามากกว่าผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์ไทย แต่อยากให้บริษัทรถยนต์แบรนด์จีนเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) มากขึ้น ให้มองกำไรเชิงพันธมิตรทางธุรกิจและช่วยสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนไทยทำให้เกิดการจ้างงาน และภาพลักษณ์ที่ดีต่อสังคมไทย ซึ่งปัจจุบันแรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนลดลงเหลือประมาณ 400,000 คน จากเดิมกว่า 600,000 คน เนื่องจากการใช้ชิ้นส่วนนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นหากโรงงานต่างชาติในไทยเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียนและการจ้างงานในประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม

อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายเซียว ไห่ ผิง ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร สำนักท่านประธานกลุ่ม บริษัท บีวายดี ออโต้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของ BYD ในประเทศไทยเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยภายหลังเปิดดำเนินการผลิตเดือนกรกฎาคม 2567 มีกำลังการผลิตสะสมแล้วกว่า 55,000 คัน และคาดว่าทั้งปีจะผลิตได้กว่า 40,000 คัน หรือเกือบเต็มศักยภาพการผลิต กำลังผลิตเฉลี่ยเดือนละ 5,000-6,000 คัน ปัจจุบันโรงงานมีพนักงานกว่า 5,800 คน โดยเป็นแรงงานไทยถึง 92% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีเพียง 80% และคาดว่าปลายปีนี้จะขยับเป็น 95% ของทั้งหมด สำหรับตลาดยานยนต์ในไทยปีนี้คาดว่าจะมียอดขายรวมประมาณ 600,000 คัน โดยในจำนวนนี้ 100,000 คัน เป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสะท้อนว่า "ไทย" ยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะ ประเทศผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 10 ของโลก โดยปัจจุบันกำลังการผลิตของโรงงานอยู่ที่ 150,000 คันต่อปี ซึ่งในอนาคต ตั้งเป้าให้สัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมด ทั้งนี้ ประเทศไทยยังคงมีความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐานและกำลังซื้อในประเทศ แต่ก็ถือเป็น "โอกาสทอง" ที่จะต่อยอดสู่การเป็นศูนย์กลางยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV Hub) ของภูมิภาค โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลยังคงเดินหน้ามาตรการ EV3.0 และ EV3.5 ที่ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น

 

ข่าวต่างประเทศ

A red flag with yellow stars

AI-generated content may be incorrect.

 

4. ราคาบ้านจีนร่วงหนักในเดือนก.ย. แม้เมืองใหญ่ออกนโยบายฟื้นฟูภาคอสังหาฯ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 20 ตุลาคม 2568)

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน เปิดเผยรายงานว่า ราคาบ้านใหม่ใน 70 เมืองของจีน ซึ่งไม่รวมที่อยู่อาศัยที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาล ปรับตัวลง 0.41% ในเดือนกันยายน 2568 เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 11 เดือน ส่วนราคาบ้านมือสองลดลง 0.64% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรุนแรงที่สุดในปีนี้ โดยราคาบ้านในจีนปรับตัวลงแม้ว่าเมืองใหญ่หลายแห่งของจีนจะนำมาตรการฟื้นฟูตลาดอสังหาริมทรัพย์มาใช้ก็ตาม โดยกรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจีน และนครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินของจีน ได้ประกาศผ่อนคลายกฎการซื้อบ้านในเดือนสิงหาคม โดยอนุญาตให้ผู้อยู่อาศัยที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเขตชานเมืองได้ไม่จำกัดจำนวน ขณะที่เมืองเซินเจิ้น ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยี ก็ได้ดำเนินมาตรการที่คล้ายกันตามมา

อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนที่ยืดเยื้อมานานถึง 4 ปี ยังคงเป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ราคาบ้านที่ตกต่ำลงเป็นเวลานานกำลังขัดขวางผู้ซื้อบ้านซึ่งต่างก็มีความกังวลว่าอสังหาริมทรัพย์อาจจะไม่ใช่แหล่งการลงทุนที่จะเพิ่มความมั่งคั่งได้อีกต่อไป

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)