ข่าวประจำวันที่ 22 ตุลาคม 2568

ข่าวในประเทศ

A person in a blue suit

AI-generated content may be incorrect.

นายธนกร วังบุญคงชนะ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

 

1. "รัฐมนตรีฯ ธนกร" เดินหน้าดันอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (ที่มา: ไทยโพสต์, ประจำวันที่ 22 ตุลาคม 2568)

นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามนโยบาย ฝ่า ฟัน ดึง ดัน ทำทันทีภายใน 120 วัน กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นความสำคัญและโอกาสในการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต หรือ New 5 Curve ที่ 12 ที่จะผลักดัน เพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศ และลดการนำเข้า โดยได้กำหนดผลิตภัณฑ์เป้าหมายนำร่อง แบ่งเป็น 4 กลุ่มได้แก่ 1. กลุ่มอากาศยานไร้คนขับ 2. กลุ่มยานพาหนะรบ 3. กลุ่มอุตสาหกรรมต่อเรือ และ 4. กลุ่มอาวุธและกระสุนปืน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งผลักดันให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศผ่านกลไกการลดต้นทุนนำเข้าวัตถุดิบ โดยผลักดันการจัดตั้งเขตปลอดอากรสำหรับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศขึ้นเป็นการเฉพาะ นอกจากนี้ยังได้จัดทำฐานข้อมูลอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (Intelligence Unit) เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ศูนย์สารสนเทศอัจฉริยะอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เพื่อให้ภาคเอกชนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจและใช้ประกอบการจัดทำนโยบายของภาครัฐ นอกจากนั้น ยังได้เร่งผลักดันการปรับปรุงกรอบระยะเวลาการส่งออก จากเดิมจะต้องใช้ระยะเวลารวม 81 วัน ให้เหลือเพียง 30 วันเท่านั้น เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยสามารถแข่งขันได้อย่างมั่นคงในเวทีโลก ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เข้าเยี่ยมชมและให้ข้อเสนอในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ณ ศูนย์วิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง (Deep Tech Innovation Center) อากาศยานไร้คนขับของบริษัท อาร์วี คอนเน็กซ์ จำกัด ประกอบด้วย 1. ศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังความปลอดภัยไซเบอร์ (CSOC) สำหรับปกป้องระบบดิจิทัลและข้อมูลที่สำคัญ 2. สถานที่ผลิตวัสดุคอมโพสิตและชิ้นส่วนโลหะ 3. สายการผลิต SMT สำหรับประกอบแผงวงจรและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ความแม่นยำสูง และ 4. ห้องประกอบและทดสอบชิ้นส่วนดาวเทียม System Integration Lab (SIL) เพื่อบูรณาการระบบขั้นสูง รวมถึงการพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ พร้อมทั้งรับฟังการนำเสนอความร่วมมือกับหน่วยงานศูนย์ทหารปืนใหญ่ เช่น การพัฒนาระบบ Autopilot, ระบบ Fuel Cell สำหรับโดรนพลังงานสะอาด และการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธีสำหรับเครื่องบินโจมตี

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมป้องกันประเทศเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ ซึ่งมีโอกาสเติบโตสูงในตลาดโลก โดยเป็นอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีนวัตกรรมที่สามารถนำไปต่อยอดหรือประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมอื่นได้ และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศได้อีกมาก อันจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์จากต่างประเทศ ซึ่งทางบริษัทฯ มีจุดแข็งรอบด้าน แต่ยังคงเผชิญความท้าทาย ทั้งต้นทุนการทดสอบที่สูง ความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน การแข่งขันในตลาดโลก และการขาดแคลนบุคลากรเฉพาะทางอย่าง Software Engineering และ Cyber Security โดยการลงพื้นที่ในครั้งนี้ คือ การแสดงจุดยืนว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้ก้าวข้ามอุปสรรค สามารถแข่งขันในเวทีโลก และสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยีให้ประเทศ

 

A person in a purple suit

AI-generated content may be incorrect.

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

 

2. ไทย-เปรูเร่งรัดเจรจา FTA เปิดตลาดทางการค้าและการลงทุนใหม่ (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 22 ตุลาคม 2568)

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้หารือกับ น.ส.เซซิเลีย ซูนิลดา กาลาร์เรตา บาซัน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเปรูประจำประเทศไทย ที่กระทรวงพาณิชย์ โดยสองฝ่ายได้เน้นการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างไทย-เปรู พร้อมยืนยันความมุ่งมั่นร่วมกันในการเร่งรัดการเจรจายกระดับความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-เปรู ให้สามารถสรุปผลในสาระสำคัญภายในสิ้นปี 2568 เพราะหากทำสำเร็จจะช่วยเปิดตลาดทางการค้าและการลงทุนใหม่ๆ ให้แก่ผู้ประกอบการทั้งสองประเทศ ทั้งในด้านสินค้าเกษตร อาหารแปรรูป ยานยนต์ เครื่องจักร และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และยังช่วยเสริมสร้างความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทาน และการขนส่งสินค้าระหว่างเอเชียกับอเมริกาใต้ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตเปรูกล่าวชื่นชมไทยที่ให้ความสำคัญต่อการสานต่อความร่วมมือและขับเคลื่อนการเจรจา FTA อย่างต่อเนื่อง และเปรูยังแจ้งว่า มีความพร้อมในด้านเศรษฐกิจ การค้าและโครงสร้าง พื้นฐาน และเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเปรูได้เปิดท่าเรือชานไค เมื่อเดือน พฤศจิกายน 2567 ซึ่งเปรูได้วางเป้าหมาย ให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกของอเมริกาใต้ และเพิ่มปริมาณการนำเข้า-ส่งออก ระหว่างเอเชียและอเมริกาใต้ให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยขยายตลาดไปสู่อเมริกาใต้ได้สะดวกมากขึ้น โดยสองฝ่ายยังเห็นพ้องที่จะขยายความร่วมมือผ่านกิจกรรมส่งเสริมการค้าและการลงทุนร่วมกัน อาทิ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติในไทย เช่น Bangkok Gems & Jewelry, THAIFEX-Anuga Asia, THAIFEXHOREC ASIA กิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจ รวมทั้งการขยายความร่วมมือในมิติอื่นนอกเหนือจากการค้า ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม อาหาร และแฟชั่น รวมถึงการส่งเสริมร้านอาหารไทยผ่าน Thai SELECT เพื่อเชื่อมโยงประชาชนของ ทั้งสองประเทศให้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น พร้อมย้ำเจตนารมณ์ที่จะผลักดันให้ไทย-เปรูก้าวสู่การเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและสมดุลในอนาคต

อย่างไรก็ตาม สำหรับเปรู เป็นคู่ค้าอันดับที่ 61 ของไทย และ ไทย เป็นคู่ค้าอันดับที่ 28 ของเปรู โดยการค้าไทย-เปรู ในช่วง 8 เดือน ปี 2568 (มกราคม-สิงหาคม) มีมูลค่า 362.49 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (12,024.55 ล้านบาท) เป็นการส่งออกไปเปรู 276.20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (9,144.98 ล้านบาท) และนำเข้าจากเปรู 86.29 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2,879.5 ล้านบาท) ได้ดุลการค้า 189.91 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (6,265.41 ล้านบาท) สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และเครื่องซักผ้าและเครื่องซักแห้งและส่วนประกอบ และสินค้านำเข้าสำคัญ เช่น สัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็งแปรรูปและกึ่งสำเร็จรูป สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ และผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้ อาทิ บลูเบอร์รี่

 

A person sitting at a desk writing on papers

AI-generated content may be incorrect.

ดร. ณัฐพล รังสิตพล

ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

 

 3. ปลัดณัฐพล ชูโมเดล ลด PM 2.5 ยกระดับอุตฯ อ้อยน้ำตาลไทยไร้เผา (ที่มา: ข่าวสด, ประจำวันที่ 22 ตุลาคม 2568)

ดร. ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้ร่วมหารือกับ ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) สำนักงานนโยบายและ แผนพลังงาน สมาคมผู้ผลิตน้ำตาล ถึงมาตรการสนับสนุนการลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 จากภาคการเผาในพื้นที่เกษตร โดยใช้มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีมาตรการสนับสนุนลดการเผาอ้อย ลดฝุ่น PM 2.5 มาอย่างต่อเนื่อง จากความร่วมมือของเกษตรกรชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลที่ใส่ใจและห่วงใยสิ่งแวดล้อม ลดการเผาอ้อยลงได้ อย่างเป็นรูปธรรม สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่อุตสาหกรรมอ้อยและ น้ำตาลทรายของไทยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เป็นผลให้ฤดูการผลิต ปีที่ผ่านมาตัวเลขเผาอ้อยต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 14.86% ทำให้กระทรวงฯ ได้รับการชื่นชมจากทุกฝ่าย สำหรับฤดูการผลิตปี 2568/69 ที่จะเริ่มเปิดหีบอ้อยเดือนธันวาคม 2568 นี้ ได้วางมาตรการไว้ เช่น มาตรการลดการเผาอ้อย กำหนดปริมาณอ้อยเผาไม่เกิน 20% ต่อวัน และทั้งฤดูการผลิต ไม่เกิน 10% ให้โรงงานหยุดรับอ้อยวันที่ 27 ธันวาคม 2568 ถึงวันที่ 4 มกราคม 2569 และขอความร่วมมือรับเฉพาะอ้อยสดตั้งแต่ช่วงต้นของหีบจนถึงช่วงวันเด็ก มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพโรงงาน สิทธิประโยชน์ BOI เพื่อสนับสนุนเครื่องจักรกลการเกษตร โดยมีสัดส่วนการกำหนด วงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล หรือ CIT ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้รวมถึงยกเว้นอากรศุลกากรนำเข้ารถตัดอ้อย มาตรการส่งเสริมการใช้ ใบอ้อยเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลร่วมกับกระทรวงพลังงานในการส่งเสริม โรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีสัดส่วนการใช้ใบและยอดอ้อยเป็นเชื้อเพลิงสามารถทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้ในระดับราคาที่เหมาะสมสร้างรายได้เพิ่มให้กับชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลมาตรการส่งเสริมราคาน้ำตาลสีเขียวไร้เผา (Green Sugar) ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล ปลอดการเผา 100% สอดรับตามเทรนด์ของผู้บริโภคยุคปัจจุบันที่หันมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตาม ขอบคุณทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ได้เห็นถึงความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อที่จะนำไปต่อยอดในพืชเศรษฐกิจอื่นต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการหารือถึงการใช้กลไกคาร์บอนเครดิตเข้ามามีส่วนช่วย ในการส่งเสริมการเก็บเกี่ยวอ้อยสดเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการ ที่รับซื้อเชื้อเพลิงชีวมวล และขายพลังงานไฟฟ้าได้ในราคาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิด demand/supply ในการรับซื้อเศษวัสดุทางการเกษตรมาเป็น เชื้อเพลิงชีวมวลเพิ่มขึ้น

 

ข่าวต่างประเทศ

A red flag with a white cross

AI-generated content may be incorrect.

 

4. สวิสส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในเดือนก.ย. แม้ถูกรีดภาษีนำเข้า 39% (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 22 ตุลาคม 2568)

สำนักงานศุลกากรของสวิตเซอร์แลนด์ เปิดเผยว่า ยอดส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ซึ่งไม่นับรวมทองคำ ปรับตัวขึ้น 43% ในเดือนกันยายน 2568 เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม ขณะที่ยอดการส่งออกโดยรวมปรับตัวขึ้น 3.4% ซึ่งบ่งชี้ว่าความต้องการสินค้าของสวิตเซอร์แลนด์ยังคงแข็งแกร่ง แม้เผชิญกับผลกระทบจากการที่รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสวิตเซอร์แลนด์สูงถึง 39% ก็ตาม ส่วนยอดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มายังสวิตเซอร์แลนด์เพิ่มขึ้นเพียง 5.5% ส่งผลให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับสวิตเซอร์แลนด์เพิ่มขึ้นเป็น 3.3 พันล้านฟรังก์ (4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในเดือนกันยายน จากระดับ 2.06 พันล้านฟรังก์ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นการขาดดุลมากที่สุดในเดือนเมษายนปีนี้ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือเป็นข้อมูลชุดแรกที่แสดงให้เห็นว่าการค้าของสวิตเซอร์แลนด์ยังคงมีการไหลเวียนตลอดทั้งเดือน แม้ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสวิตเซอร์แลนด์ในอัตรา 39% เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวของทรัมป์ส่งผลให้รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในปีหน้า โดยภาษีศุลกากรที่ทรัมป์เรียกเก็บจากสวิตเซอร์แลนด์นั้น ถือเป็นอัตราสูงที่สุดในบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้ว และส่งผลกระทบต่อสินค้าที่เป็นซิกเนเจอร์ของสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งแต่นาฬิกา ไปจนถึงเครื่องจักรและช็อกโกแลต นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้ายา ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญอีกชนิดหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ด้วย

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)