ข่าวประจำวันที่ 31 ตุลาคม 2568

ข่าวในประเทศ

A person in a suit sitting in a chair

AI-generated content may be incorrect.

ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)

1. ดัชนี MPI ก.ย. ขยับแค่ 1% ภาคอุตฯ ห่วงหลากปัจจัยลบผลิตแค่ 50% (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 31 ตุลาคม 2568)

นายศุภกิจ บุญศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนกันยายน 2568 อยู่ที่ระดับ 94.56 ขยายตัว 1.02% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 58.13% เนื่องจากยอดขายยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น การผลิตรถยนต์กลับมาขยายตัวอีกครั้งอยู่ที่ 5.57% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงการท่องเที่ยวของคนในประเทศขยายตัวเนื่องจากโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การปรับลด ค่าไฟฟ้าและโครงการคุณสู้เราช่วยเฟส 2 เป็นต้น ขณะที่ภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ระดับ 93.36  หดตัว 2.40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 57.39% สำหรับปัจจัยที่กดดันภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ ความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ถึงแม้ว่าจะมีความชัดเจนเรื่องภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บเพิ่มเติมจากไทยที่ 19% แต่สหรัฐฯ ยังมีการทบทวน เก็บภาษีนำเข้ารายสินค้าเพิ่มเติมในกลุ่มสินค้าไม้ ยา เฟอร์นิเจอร์ และรถบรรทุกขนาดใหญ่ ด้านค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น จากกระแสเงินทุนไหลเข้าและทิศทางดอกเบี้ยขาลงของสหรัฐฯ ส่งผลให้ต้นทุนสินค้าส่งออกของไทยสูงขึ้นในตลาดโลก กระทบความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาของสินค้าส่งออกเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่มีราคาใกล้เคียงกัน โดยอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบน้อยและมีสัดส่วนการส่งออกมาก เป็นกลุ่มที่มีการใช้วัตถุดิบในประเทศ เป็นหลักและมีการส่งออกมาก จึงได้รับผลกระทบจากรายรับจากการส่งออกที่น้อยลง รวมถึงการท่องเที่ยวจากต่างประเทศลดลงต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น อาหารแช่แข็ง ไส้กรอก กระเป๋าเดินทาง รองเท้ากีฬา และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น ทั้งนี้ ทางด้านระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทย เดือนตุลาคม 2568 "ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง" โดยปัจจัยในประเทศโดยรวมส่งสัญญาณเฝ้าระวัง จากการลงทุนภาคเอกชนและความเชื่อมั่นด้านคำสั่งซื้อที่ปรับตัวลดลง ด้านปัจจัยต่างประเทศส่งสัญญาณเฝ้าระวังลดลง จากภาคการผลิตในภูมิภาคอาเซียนเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวและการผลิตปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย โดยภาคการผลิตของสหภาพยุโรปยังคงซบเซา

อย่างไรก็ตาม ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติดำเนินโครงการ "คนละครึ่งพลัส" เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี 2568 และแบ่งเบา ภาระค่าครองชีพของประชาชน ในส่วนของการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคและบริโภคจะมีกลุ่มสินค้าและบริการที่สามารถใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่ง ได้แก่ อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป บริการนวด สปา ทำเล็บ ทำผม บริการขนส่งสาธารณะ รวมถึงซื้ออาหารและเครื่องดื่ม ผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุปสงค์ของสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ในเบื้องต้น สศอ. ประเมินว่า ภาคอุตสาหกรรมจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการดังกล่าว โดยคาดว่า GDP ภาคอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.1% หรือขยายตัวประมาณ 15,000 ล้านบาท

A person smiling at the camera

AI-generated content may be incorrect.

นางอารดา เฟื่องทอง

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกระทรวงพาณิชย์

2. ขยายตลาดส่งออกข้าว พาณิชย์จัดทัพบุกจีน-ซาอุฯ-ดูไบ (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 31 ตุลาคม 2568)

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมฯ เตรียมจัดคณะผู้แทนเดินทางไปเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศในเดือนพฤศจิกายน 2568 จำนวน 3 งาน เพื่อประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยและ สร้างความตระหนักรู้ข้าวไทยให้กับผู้บริโภคข้าวในต่างประเทศ ภายใต้แคมเปญ "Think Rice Think Thailand" โดยงานแรกนั้นจะเข้าร่วมแสดงสินค้านานาชาติ "China International Import Expo (CIIE) 2025" ครั้งที่ 8 ระหว่างวันที่ 1-11 พฤศจิกายน 2568 ณ นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้านำเข้าที่ใหญ่ที่สุดในเซี่ยงไฮ้ จัดขึ้นโดยกระทรวงพาณิชย์จีน เพื่อส่งเสริมการนำเข้า และเป็นเวทีเจรจาธุรกิจระหว่างจีนและประเทศต่างๆ โดยกรมฯ เข้าร่วมงานนี้เป็นครั้งที่ 3 เนื่องจากจีนเป็นตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทย และเป็นที่รู้กันดีว่าจีนเป็นตลาดนำเข้าข้าวรายใหญ่ของโลก ในแต่ละปีนำเข้าประมาณ 1-6 ล้านตัน ขณะที่ไทยส่งออกข้าวไปจีนประมาณ 440,000-750,000 ตันต่อปี ครองส่วนแบ่งการนำเข้าข้าวของจีน 23% รองจากเมียนมา และเวียดนาม สำหรับชนิดข้าวไทยที่ ส่งออกไปจีนส่วนใหญ่เป็นข้าวขาว ข้าวหอมมะลิไทย และข้าวเหนียว ส่วนงานที่ 2 จะเข้าร่วมงานแสดงสินค้า "Foodex Saudi 2025" ครั้งที่ 13 ระหว่างวันที่ 2-7 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็นงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มระดับนานาชาติที่สำคัญที่สุดงานหนึ่งของซาอุดีอาระเบีย จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นเวทีเจรจาธุรกิจและสร้างเครือข่ายทางการค้า และขยายโอกาสสู่ตลาดซาอุดีอาระเบียและกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง โดยกรมฯ เข้าร่วมงานนี้เป็นครั้งแรก เพราะเห็นว่าซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่บริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก แต่มีภูมิประเทศไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก จึงต้องนำเข้าข้าวจากต่างประเทศเพื่อ ตอบสนองความต้องการข้าวในประเทศซึ่งแต่ละปีอยู่ที่ 1.7 ล้านตัน ขณะที่มีการนำเข้าประมาณ 1.8 ล้านตันต่อปี ซึ่งแต่ละปีไทยส่งออกข้าวไปซาอุดีอาระเบียประมาณ 14,000-30,000 ตัน

อย่างไรก็ตาม สำหรับงานที่ 3 จะเข้าร่วมการจัดงาน "Thai SELECT Festival 2025" ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 28-30 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จัดโดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองดูไบ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าและบริการที่มีศักยภาพของไทย ได้แก่ อาหาร เครื่องดื่ม แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ และร้านอาหาร Thai SELECT หรือแนวคิด 5F ได้แก่ Food (อาหารและเครื่องดื่ม) Fight (ศิลปะมวยไทย) Festival (ศิลปวัฒนธรรมไทย) Film (ภาพยนตร์ไทยที่เน้นวัฒนธรรมไทยและวัตถุดิบอาหารไทย) และ Fashion (แฟชั่นโชว์ชุดผ้าไทย) โดยกรมฯเข้าร่วมงานในปี 2568 นี้เป็นครั้งแรก เพราะเห็นว่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ของภูมิภาคตะวันออกกลางมีเมืองดูไบเป็นท่าขนถ่ายสินค้าหลัก และเป็น Re-exporter รายใหญ่ของโลกที่ส่งสินค้าต่อไปยังประเทศต่างๆ ทั้งในตะวันออกกลาง เอเชียใต้ และแอฟริกา

 

A person in a suit and tie

AI-generated content may be incorrect.

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์

เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

3. BOI ไฟเขียว Garmin ลงทุน ตั้งรง. แห่งแรกในอาเซียน (ที่มา: ทันหุ้น, ประจำวันที่ 31 ตุลาคม 2568)

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนโครงการของบริษัท การ์มิน ชลบุรี (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือบริษัท Garmin Ltd. (Switzerland) เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เช่น นาฬิกาอัจฉริยะ (GPS Smart Watch) และอุปกรณ์นำทางอัจฉริยะสำหรับยานยนต์และการเดินเรือ (GPS Navigator) ภายใต้แบรนด์ "Garmin" มูลค่าลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี ซึ่งจะเป็นฐานการผลิตแห่งแรกในอาเซียนของบริษัท ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มผลิตภายใน ปี 2569 เพื่อจำหน่ายในประเทศ และส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ตอกย้ำศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นฐานการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะของภูมิภาคอาเซียน โดยโครงการนี้ จะใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยครบทั้งสายการผลิต เพื่อผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เซ็นเซอร์สำหรับวัดอัตราการเต้นของหัวใจ และระดับออกซิเจนในเลือดแบบเรียลไทม์ เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว เพื่อวัดความเร็วและระยะทาง และเทคโนโลยี AI ที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพของผู้สวมใส่ Smart Watch รวมถึงระบบนำทางหรือเทคโนโลยีรับข้อมูลสภาพอากาศและกระแสน้ำแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำในการเดินเรือและการวางแผนเส้นทาง ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือเป็นนวัตกรรมที่ให้ความแม่นยำในการตรวจจับ และวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง รวมถึงสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์หรือเครื่องมืออื่นๆ เช่น สมาร์ทโฟนและ คอมพิวเตอร์ ผ่านระบบไร้สายได้อย่า งมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านเทคโนโลยีแห่งอนาคต

อย่างไรก็ตาม สำหรับบริษัท Garmin เป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ Smart Watch และอุปกรณ์ GPS ที่หลากหลาย ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มนักกีฬา ผู้รักสุขภาพ และนักเดินทางทั่วโลก โดยมียอดขายรวมทั้งสิ้นกว่า 6,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2567 เติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยปัจจุบันบริษัท Garmin มีโรงงานผลิตอยู่หลายแห่งทั่วโลก ได้แก่ จีน ไต้หวัน เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ สหรัฐอเมริกา และได้เลือกประเทศไทยเป็นที่ตั้งโรงงานแห่งแรกในอาเซียน เนื่องจากมีทำเลที่ตั้งที่ดี อยู่ใจกลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่แข็งแกร่ง ระบบการขนส่ง และโลจิสติกส์ที่ทันสมัย บุคลากรมีคุณภาพ มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ดี และมีซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ครบวงจร เอื้อต่อการผลิตและสามารถรองรับตลาดที่เติบโตได้อย่างรวดเร็ว

 

ข่าวต่างประเทศ

 

4. ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 2.2% ในเดือนก.ย. ฟื้นตัวครั้งแรกรอบ 3 เดือน (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 31 ตุลาคม 2568)

กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนกันยายน 2568 ปรับตัวขึ้น 2.2% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน โดยได้แรงหนุนจากการผลิตเครื่องจักรที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งตัวเลขของเดือนกันยายน สะท้อนให้เห็นว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นพลิกกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง หลังจากที่ลดลง 1.5% ในเดือนสิงหาคม ทั้งนี้ ทางกระทรวงฯ ยังคงระดับการประเมินพื้นฐานของเดือนกันยายนไว้เท่ากับเดือนสิงหาคม โดยระบุว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม "มีความผันผวนและไม่แน่นอน" โดยดัชนีการผลิตในโรงงานและเหมืองแร่ที่ปรับค่าตามฤดูกาลแล้ว อยู่ที่ระดับ 102.8 เทียบกับฐาน 100 ในปี 2563 ส่วนดัชนีการขนส่งในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 0.7% แตะระดับ 100.2 และดัชนีสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้น 0.5% แตะระดับ 99.6

อย่างไรก็ตาม สำหรับ 13 ภาคส่วน เช่น ผลิตภัณฑ์โลหะ รวมถึงเคมีภัณฑ์อนินทรีย์และอินทรีย์ มีการผลิตเพิ่มขึ้น ขณะที่ 2 ภาคส่วน ได้แก่ อุปกรณ์การขนส่งซึ่งไม่นับรวมยานยนต์ และเหล็กและโลหะที่ไม่มีเหล็กผสมมีการผลิตลดลง นอกจากนี้ หลังจากที่ได้ทำการสำรวจความเห็นของกลุ่มผู้ผลิตแล้ว ทางกระทรวงฯ คาดการณ์ว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม จะเพิ่มขึ้น 1.9% ก่อนที่จะปรับตัวลง 0.9% ในเดือนพฤศจิกายน

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)