ข่าวในประเทศ
นายธนกร วังบุญคงชนะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
1. 'ธนกร' เยี่ยมนิคมฯ สินสาคร ชื่นชมระบบบริหารจัดการน้ำเสีย นำน้ำทิ้งที่บำบัดแล้วกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568)
นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ นิคมอุตสาหกรรมสินสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อติดตามการดำเนินงานและมอบนโยบาย โดยชื่นชมความสำเร็จของนิคมอุตสาหกรรมสินสาคร ในการเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศระดับ Eco-Champion และการบริหารจัดการน้ำเสียภายใต้แนวคิด "Zero Discharge" พร้อมกำชับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ให้ทุกนิคมฯ ทั่วประเทศ คงความเข้มงวดในมาตรการเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมในช่วงที่มีฝนตกหนักในระยะนี้ สำหรับโมเดล Zero Discharge ของนิคมอุตสาหกรรมสินสาคร ถือเป็นแบบอย่างที่ยอดเยี่ยม สอดคล้องกับเป้าหมายของ กนอ. ในการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนและเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้นิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ได้รับการรับรองและรักษาระบบการเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศระดับ Eco-Champion มาได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้ กนอ.ติดตามสถานการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่ หลังที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าอาจมีฝนตกหนักในระยะนี้ โดยให้กำชับไปยังนิคมอุตสาหกรรมเสี่ยงน้ำท่วมทั่วประเทศให้ติดตามและเฝ้าระวังอย่างเคร่งครัด
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า กนอ. ได้เตรียมมาตรการเฝ้าระวังที่สำคัญ ได้แก่ 1. การตรวจสอบและบำรุงรักษาเครื่องสูบน้ำให้พร้อมใช้งาน 100% 2. การพร่องน้ำในพื้นที่แก้มลิงหรือพื้นที่รับน้ำภายในนิคมฯ ให้อยู่ในระดับต่ำสุดเสมอ เพื่อให้มีพื้นที่รองรับน้ำฝนได้มากที่สุด 3. การติดตามข้อมูลอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด 4. การเตรียมพร้อมเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่สำรองจากภายนอก 5. การซ้อมแผนฉุกเฉินรองรับอุทกภัยเป็นประจำ 6. การกำหนดเกณฑ์เฝ้าระวัง หากปริมาณน้ำฝนในนิคมฯ สูงมากกว่า 120 มิลลิเมตร ให้รีบรายงานผู้ว่าการ กนอ. หรือผู้บริหาร กนอ. ทราบอย่างต่อเนื่อง สำหรับนิคมอุตสาหกรรมสินสาคร จากการประเมินไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มพื้นที่เสี่ยงสูงต่อน้ำท่วม โดยพื้นที่ที่ กนอ. เฝ้าระวังเป็นพิเศษคือ นิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดอยุธยา (นิคมฯบางปะอิน, นิคมฯบ้านหว้า, นิคมฯนครหลวง) และนิคมอุตสาหกรรมบางปู สำหรับนิคมอุตสาหกรรมสินสาคร เป็นหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมที่ดำเนินงานภายใต้การกำกับดูแลของ กนอ.โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน และเป็นนิคมอุตสาหกรรมที่ ได้รับการรับรองเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศระดับ Eco-Champion โดยเริ่มจัดทำแผนแม่บทฯ ตั้งแต่ปี 2557 ได้รับการรับรองครั้งแรกในปี 2558 และรักษาระบบมาได้อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน (2568)
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์
ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
2. อานิสงส์รัฐกระตุ้นศก.ลุ้นจีดีพี 2.5% (ที่มา: ข่าวสด, ประจำวันที่ 6พฤศจิกายน 2568)
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคาดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวได้ 1.8-2.2% ตามที่ประเมินไว้เดิม แม้จะปรับประมาณการส่งออกปีนี้อาจโตได้ประมาณ 9.5-10.5% เพิ่มขึ้นจากเดิมคาดไว้โต 2-3% แต่เป็นสินค้าส่งออกที่มีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ (local content) ต่ำมาก และทองคำซึ่งไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจจริง ทั้งนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกขยายตัวดีกว่าที่คาด นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง แม้จะเริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี โดยล่าสุด กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประเมินจีดีพีโลกปี 2568 โต 3.2% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 3% ท่ามกลางความเสี่ยงจากนโยบายการค้าโลก โดยเศรษฐกิจสหรัฐที่ขยายตัวดี ส่งผลให้แนวโน้มการส่งออกไทยในปี 2568 ขยายตัวสูงกว่าที่คาดไว้มาก แต่ กกร.มองว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้รับอานิสงส์จากการส่งออกมากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสินค้าส่งออกของไทยที่ขยายตัวแรงมี Local Content ต่ำ จึงส่งผลต่อจีดีพีอย่างจำกัด
อย่างไรก็ตาม ขณะที่การนำเข้าที่ขยายตัวสูงถึง 10.2% เงินเฟ้อต่ำคาดว่าอาจติดลบ 0.1% หรือขยายตัวได้เพียง 0.1% ตามราคาพลังงานที่แผ่วลง จากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 0.5-1% หากสามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 ควบคู่กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคนละครึ่งพลัส สนับสนุนเอสเอ็มอีและการสนับสนุนสินค้าที่ผลิตจากในประเทศ (Made In Thailand-MiT) ตามแนวทาง Quick Big Win ของรัฐบาล จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ให้โตได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่โต 2.5%
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า
3. ต.ค.เงินเฟ้อลดลง 0.76% พาณิชย์คาดทั้งปีอยู่ที่ศูนย์เปอร์เซ็น (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568)
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (เงินเฟ้อ) ของไทย เดือนตุลาคม 2568 เท่ากับ 100.00 เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งเท่ากับ 100.77 ทำให้อัตรา เงินเฟ้อทั่วไปลดลง 0.76 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยปัจจัยหลักมาจากมาตรการลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนของภาครัฐ ให้ราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานลดลง ทั้งค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้ มีสินค้าสำคัญที่ราคาลดลง ได้แก่ เนื้อสุกร ไข่ไก่ ผักสด และผลไม้สด จากปริมาณผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งของใช้ส่วนบุคคล จากการส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการ สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่นๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (อัตราเงินเฟ้อทั่วไป เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก) สูงขึ้น 0.61 % (YoY) ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนกันยายน 2568 ที่สูงขึ้น 0.65 % (YoY) และดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเดือนตุลาคม 2568 เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2568 ลดลง 0.11 % (MoM) ตามการลดลงของหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม 0.14 % (MoM) จากการลดลงของราคาสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิง (แก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน) ตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายบรรเทาภาระค่าครองชีพด้านพลังงาน ค่าธรรมเนียมผ่านทางพิเศษ จากการยกเว้นค่าผ่านทางฯ ในวันหยุดราชการประจำปี ของใช้ส่วนบุคคลบางชนิด และเสื้อผ้า จากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการ
อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤศจิกายน 2568 คาดว่าจะยังคงลดลง โดยมีปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง ได้แก่ 1. ราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกต่ำกว่าปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากกลุ่มประเทศโอเปกพลัสปรับเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (OFFO) ปรับลดอัตราเงินสมทบเข้ากองทุนฯ และทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลงมาอยู่ที่ 30.94 บาทต่อลิตร 2. ภาครัฐดำเนินมาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับลดค่า Ft งวดเดือนกันยายน - ธันวาคม 2568 มาอยู่ที่ 15.72 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่ากระแสไฟฟ้าลดลงเหลือ 3.94 บาทต่อหน่วย 3. ราคาผักสดและผลไม้สดต่ำกว่าปีก่อนหน้าค่อนข้างมาก จากผลผลิตที่เข้าสู่ตลาดจำนวนมาก รวมทั้งฐานราคาผักสดในปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับสูง และ 4. ผู้ประกอบการท่องเที่ยวมีแนวโน้มปรับลดราคาห้องพัก ส่วนปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับสูงขึ้น ได้แก่ 1. การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวมีแนวโน้มทำให้ค่าโดยสารเครื่องบินปรับตัวสูงขึ้น และ 2. ราคาสินค้าเกษตรและเครื่องประกอบอาหารบางชนิดมีแนวโน้มสูงกว่าปีก่อนหน้า เช่น กะทิสำเร็จรูป กาแฟสำเร็จรูป เกลือป่น และน้ำมันพืช เป็นต้น ด้วยปัจจัยดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2568 อยู่ที่ 0.0%
ข่าวต่างประเทศ
4. ดัชนี PMI ภาคบริการ UK เดือนต.ค. พุ่งแตะสูงสุดรอบ 1 ปี รับดีมานด์ฟื้น (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568)
เอสแอนด์พี โกลบอล เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหราชอาณาจักร (UK) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 52.3 ในเดือนตุลาคม 2568 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 1 ปี จากระดับ 50.8 ในเดือนกันยายน และสูงกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ 51.1 โดยดัชนีที่อยู่สูงกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่า ภาคบริการซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของเศรษฐกิจอังกฤษ มีการขยายตัว โดยดัชนี PMI ภาคบริการเดือนตุลาคม ได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และผลผลิต ขณะที่ความเชื่อมั่นทางธุรกิจในช่วง 12 เดือนข้างหน้าพุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ซึ่งข้อมูลนี้ถือเป็นปัจจัยบวกต่อเรเชล รีฟส์ รัฐมนตรีคลัง ซึ่งกำลังจะแถลงงบประมาณประจำปีในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 นี้
อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกัน ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตภาคบริการขั้นสุดท้ายพุ่งขึ้นสู่ระดับ 52.2 ในเดือนตุลาคม จากระดับ 50.1 ในเดือนกันยายน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 51.1 ทั้งนี้ ในด้านราคา แม้บริษัทต่างๆ ระบุว่าต้นทุนปัจจัยการผลิตเพิ่มขึ้นจากค่าจ้างที่สูงขึ้น แต่อัตราเงินเฟ้อด้านต้นทุนโดยรวมชะลอตัวลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 ส่วนราคาที่เรียกเก็บจากลูกค้าก็เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) กำลังจับตาเพื่อประเมินแรงกดดันเงินเฟ้อ ก่อนการประชุมนโยบายการเงินในวันพฤหัสบดีนี้ (6 พฤศจิกายน 2568) ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่า BoE จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4%
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)