ข่าวประจำวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568

ข่าวในประเทศ

A person smiling at the camera

AI-generated content may be incorrect.

นางอารดา เฟื่องทอง

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ

1. เอฟทีเอพุ่งใช้สิทธิเฉียด 2 ล้านล. (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568)

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ในช่วง 8 เดือนของปี 2568 มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ของไทยยังโตต่อเนื่อง มีมูลค่ารวม 60,245.93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.94 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 8.40% โดยประเทศที่ไทยใช้สิทธิเอฟทีเอส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน 21,117.59 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 2. เอฟทีเออาเซียน-จีน 17,354.43 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 3. เอฟทีเออาเซียน-อินเดีย 6,895.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 4. ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น 4,628.99 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 5. เอฟทีเอไทย-ออสเตรเลีย 3,625.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนเมื่อแยกเป็นรายการสินค้าที่มีการขอใช้สิทธิเอฟทีเอ 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. ยานยนต์สำหรับขนส่งของ 2. ทุเรียนสด 3. ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ 4. แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป และ 5. เนื้อไก่ปรุงแต่ง ตามลำดับ โดยตลาดจีนยังคงเป็นฐานสำคัญของสินค้าเกษตรไทย และทุเรียนยังคงครองแชมป์สินค้าขอใช้สิทธิสูงสุดต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดอินเดียมีการขยายตัวโดดเด่นในสินค้ากลุ่มเครื่องเพชรพลอยและแพลทินัม ทั้งนี้ สำหรับสินค้าที่มีการใช้สิทธิสูงใน 8 เดือน ช่วงเดือนมกราคม - สิงหาคม 2568 แบ่งเป็นสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. ทุเรียนสด 2. เนื้อไก่ปรุงแต่ง 3. น้ำตาลที่ได้จากอ้อย 4. ผลไม้สด เงาะ ลำไย และทับทิม และ 5. ผลไม้สด ฝรั่ง มะม่วง และมังคุด มูลค่ารวม 17,077.63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. ยานยนต์สำหรับขนส่งของ 2. ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ 3. แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป 4. เครื่องจักรอัตโนมัติ และ 5. เครื่องปรับอากาศชนิดติดผนังหรือติดเพดาน มูลค่ารวม 43,168.31 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ในยุคที่ภูมิรัฐศาสตร์โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และมาตรการทางการค้าระหว่างประเทศมีความเข้มงวดมากขึ้น การใช้สิทธิเอฟทีเอ จะเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยลดอุปสรรคทางการค้าและสร้างแต้มต่อด้านภาษีให้ผู้ประกอบการ โดยขณะนี้ไทยกำลังเร่งเครื่อง ขยายเครือข่ายความร่วมมือทางการค้าในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะการผลักดันเอฟทีเอฉบับใหม่กับยุโรปและเกาหลีใต้ เพื่อช่วยให้ไทยรักษาบทบาทในห่วงโซ่การผลิตโลก รวมถึงดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมากยิ่งขึ้น

 

A person in a suit and tie

AI-generated content may be incorrect.

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์

เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

2. อัดมาตรการแรงหนุนทุนไทย (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568)

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายภายใต้บีโอไอ มีมติเห็นชอบ 2 มาตรการสำคัญ ขับเคลื่อนการลงทุนเพื่ออนาคต ได้แก่ มาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เป็นการให้เงินทุนสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการปรับปรุงประสิทธิภาพยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันจะสนับสนุนเงินทุนในสัดส่วน 30-50% ของเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อบริษัท ทั้งนี้ ให้ครอบคลุมการลงทุนใน 3 ด้านหลัก 1. การปรับปรุงประสิทธิภาพกิจการเดิมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น การใช้ระบบอัตโนมัติ และเทคโนโลยีดิจิทัล 2. การวิจัยและพัฒนา 3. การปรับเปลี่ยนกิจการเดิมไปสู่อุตสาหกรรมใหม่และอุตสาหกรรมสีเขียว โดยผู้ยื่นขอใช้สิทธิตามมาตรการนี้ ต้องเป็นนิติบุคคลที่มีหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 51% ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ เกษตร อาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ การแพทย์ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ถ้าเป็นผู้ประกอบการทั่วไป มีเงื่อนไขลงทุนขั้นต่ำ 50 ล้านบาท แต่กรณีเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ขึ้นทะเบียนในโครงการเอสเอ็มอี วัน ไอดีของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ต้องลงทุนขั้นต่ำ 20 ล้านบาท โดยต้องยื่นคำขอภายในเดือนมกราคม 2569 และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับจากวันออกบัตรส่งเสริม สำหรับมาตรการสร้างบุคลากรทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศจะสนับสนุนเงินให้กับมหาวิทยาลัย สถาบันฝึกอบรมที่จะเป็นหน่วยงานแม่ข่าย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดฝึกอบรมและยกระดับทักษะของกำลังคนระดับ ปวส. ขึ้นไป ให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรม มีเป้าหมายพัฒนาบุคลากร 1 แสนคน แบ่งเป็นนักศึกษาที่เตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน 30,000 คน และบุคลากรในตลาดแรงงานที่ต้องการยกระดับหรือปรับเปลี่ยนทักษะ 70,000 คน รูปแบบการฝึกอบรมครอบคลุมทั้งแบบบูธแคมป์ ออนไซต์ ออนไลน์ เทรนดิ้ง รวมทั้งการฝึกปฏิบัติจริงในสถานประกอบการ โดยหลักสูตรจะต้องมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่หรือองค์ความรู้ขั้นสูงที่จะช่วยยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของประเทศและต้องได้รับการรับรองโดยคณะกรรมการภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษาฯ (อว.) โดยเงินสนับสนุนจะครอบคลุมค่าฝึกอบรม ค่าเดินทาง ค่าเบี้ยเลี้ยงระหว่างฝึกงานและค่าตอบแทนผู้ดูแลการฝึกงาน ทั้งนี้ ต้องยื่นคำขอภายในเดือนมกราคม 2569 และดำเนินการฝึกอบรมให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน นับจากวันออกบัตรส่งเสริม

อย่างไรก็ตาม มาตรการที่บอร์ดอนุมัติในครั้งนี้จะเป็นการพลิกบทบาทกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้เป็นเครื่องมือด้านการเงินที่ใช้ในการยกระดับอุตสาหกรรมไทย ทั้งด้านการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยปรับตัว เพื่อยกระดับเทคโนโลยีและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการสร้างบุคลากรทักษะสูง

 

A person in a suit and tie

AI-generated content may be incorrect.

นายใบน้อย สุวรรณชาตรี

เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.)

 

3. สอน.แนะผู้ใช้น้ำตาลผลิตสินค้าหาตลาดทดแทนสหรัฐ (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568)

นายใบน้อย สุวรรณชาตรี เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) เปิดเผยถึงภาษีสหรัฐและปัญหาการค้าชายแดนต่ออุตสาหกรรมน้ำตาลไทยในฐานะผู้ส่งออกหลักของโลกว่า กรณีสงครามการค้าที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน รวมถึงข้อกีดกันทางการค้าและกำแพงภาษีที่สหรัฐอเมริกากำหนดให้ประเทศไทยอยู่ที่ 19% ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทยมากนัก เนื่องจากไทยได้รับโควต้าในการนำเข้าน้ำตาลไปยังสหรัฐอเมริกาเพียงปีละประมาณ 14,000 ตัน และได้ระดับราคาที่สูงกว่าตลาดทั่วไป แม้จะมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าแล้ว ก็ยังถือว่าระดับราคาดังกล่าวยังคงมีกำไร อย่างไรก็ตาม กรณีผู้ประกอบการที่ซื้อน้ำตาลแล้วนำไปผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก อาจได้รับผลกระทบ จากการไม่สามารถส่งออกได้มากดังเดิม ก็จะส่งผลกระทบ ย้อนกลับมา ดังนั้นผู้ประกอบการต้องหาตลาดในการส่งออกน้ำตาลใหม่ทดแทน ทั้งนี้ ในส่วนของประเด็นพิพาทชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายอาจได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อย เนื่องจากไม่สามารถขนส่งน้ำตาลผ่านด่านชายแดนได้ดังเช่นปกติ ประกอบกับช่วงการเก็บเกี่ยวอ้อยเข้าสู่โรงงาน อาจไม่สามารถใช้แรงงานจากประเทศกัมพูชาเข้ามาได้เหมือนเดิม แต่สอน.ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในประเด็นดังกล่าว มีการดำเนินการหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อหาทางออกและแนวทางปฏิบัติที่ทำให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยและผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาลได้รับการบรรเทาความเดือดร้อนให้เหลือน้อยที่สุด

อย่างไรก็ตาม สำหรับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทยในปี 2569 ถือว่ามีความท้าทายสูง อันเนื่องจากบริบทการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถควบคุมได้เข้ามามีผลกระทบอย่างรุนแรง อาทิ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่มีผลทำให้การผลิตอ้อยมีความยุ่งยากขึ้น เกิดปัญหาการระบาดของโรคแมลงศัตรูอ้อยอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่ ปัญหาความขัดแย้งของพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน และการกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยของสหรัฐอเมริกา ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลทางลบ

 

ข่าวต่างประเทศ

A red flag with a yellow star

AI-generated content may be incorrect.

 

4. ส่งออกเวียดนามไปสหรัฐร่วงต่อเนื่อง (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568)

สำนักงานสถิติแห่งชาติของเวียดนาม เปิดเผยว่า การส่งออกสินค้าโดยรวมของเวียดนามในเดือนตุลาคม 2568 ลดลง 1.5% จากเดือนกันยายน โดยมีมูลค่าอยู่ที่ราว 42,050 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ การนำเข้าลดลง 1% อยู่ที่ 39,450 ล้านดอลลาร์ ส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐลดลงราว 2.2% อยู่ที่ 13,400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน โดยเกิดขึ้นขณะที่เวียดนาม ซึ่งพึ่งพาการค้าเป็นอย่างมาก กำลังปรับตัวรับมือมาตรการภาษีของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ที่ตั้งกำแพงภาษีสินค้าเวียดนามสูงถึง 20% ทั้งนี้ การส่งออกทั้งหมดของเวียดนามในเดือนตุลาคมนี้ยังสูงกว่าปีที่แล้ว โดยอยู่ที่ 17.5% ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น 16.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจเวียดนาม เนื่องจากมีข้อตกลงการค้ากับประเทศคู่ค้าทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือได้รับผลกระทบมากที่สุดในบรรดากลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐ โดยการส่งออกโทรศัพท์จากเวียดนามไปสหรัฐในเดือนตุลาคม ลดลง 15.2% เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน แม้ว่าภาคอุตสาหกรรมนี้จะได้รับการยกเว้นภาษีสหรัฐที่สูงขึ้นก็ตาม ส่วนการส่งออกสิ่งทอและเสื้อผ้าไปสหรัฐลดลง 7% แต่  การส่งออกรองเท้าเพิ่มขึ้น 15% ซึ่งช่วยชดเชยการส่งออกที่ลดลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)