ข่าวประจำวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568

ข่าวในประเทศ

รูปภาพประกอบด้วย คน, ใบหน้าของมนุษย์, ผนัง, ยิ้ม

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

 

1. ศุภจี ชูโมเดลขายข้าว G2G สิงคโปร์ ช่วยดันไทยเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารโลก (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568)

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการบรรยายพิเศษในงาน Policy Talk ครั้งที่ 2 หัวข้อ “นโยบายด้านการค้าและการพาณิชย์ของรัฐบาล” ซึ่งมีการจัดขึ้นโดยหลักสูตรรัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานโยบายสาธารณะ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงความสำเร็จในการเจรจาซื้อขายข้าวกับประเทศสิงคโปร์ว่า การลงนามสัญญาซื้อขายข้าวกับสิงคโปร์ถือเป็นครั้งแรกที่ดำเนินการในลักษณะการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ (G-to-G) ซึ่งที่ผ่านมา การค้าข้าวระหว่างไทยกับสิงคโปร์เป็นการซื้อขาย โดยภาคเอกชนเป็นหลัก แต่ครั้งนี้มีความสำคัญใน 2 มิติ คือ 1. เป็นความร่วมมือซื้อข้าวระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลครั้งแรก และ 2. เป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหารระหว่างประเทศ มากกว่าการค้าข้าวในเชิงพาณิชย์ทั่วไป ทั้งนี้ สิงคโปร์เป็นประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าอาหารจากต่างประเทศเกือบทั้งหมด และในยุคที่โลกเผชิญความไม่แน่นอน ทั้งจากปัจจัยภูมิอากาศ ภูมิรัฐศาสตร์ และโรคระบาด หลายประเทศจึงให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งประเทศไทยในฐานะประเทศเกษตรกรรม มีศักยภาพด้านสินค้าอาหารและวัตถุดิบ จึงสามารถเป็นพันธมิตรสำคัญในการส่งเสริมเสถียรภาพด้านอาหารให้กับประเทศคู่ค้า ซึ่งข้อตกลงครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการขายข้าว แต่เป็นการสร้างความเชื่อมั่นระหว่างประเทศ เป็นโมเดลที่เริ่มต้นจากสินค้า ‘ข้าว’ จำนวน 100,000 ตัน ในระยะเวลา 5 ปี และสามารถต่อยอดสู่สินค้าเกษตรอื่น เช่น เนื้อหมู ไก่ และสินค้าเกษตรสดประเภทต่างๆ ได้ในอนาคต โดยที่ผ่านมา ประเทศไทยได้หารือกับหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน ตะวันออกกลาง รวมถึงยุโรปและอเมริกาเหนือ ซึ่งหลายประเทศให้ความสนใจในโมเดล “Food Security” ของไทย โดยเฉพาะประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม โมเดลนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ ทั้งในมิติของประเทศและประเภทสินค้า โดยเริ่มจากการร่วมมือกับสิงคโปร์ในสินค้า ‘ข้าว’ และสามารถขยายผลไปสู่ประเทศอื่น รวมถึงสินค้าเกษตรประเภทอื่นในระยะต่อไป เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านอาหารในระดับภูมิภาคและระดับโลก นอกจากนี้ นโยบายดังกล่าวยังสอดคล้องกับแนวโน้มการปรับโครงสร้างการค้าโลก (trade diversion) ที่หลายประเทศปรับแหล่งนำเข้าและส่งออกสินค้าใหม่ เพื่อกระจายความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน (world supply chain) ซึ่งประเทศไทยสามารถใช้จังหวะนี้ในการวางตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์ให้สินค้าเกษตรไทยมีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหารของโลก

 

รูปภาพประกอบด้วย คน, ผนัง, ใบหน้าของมนุษย์, เสื้อผ้า

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

น.ส.สุนันทา กังวาลกุลกิจ

อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)

2. รถยนต์พลังงานใหม่ใส่ระบบอัจฉริยะจีนโตแรง (ที่มา: ข่าวสด, ประจำวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568)

น.ส.สุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า กรมได้มอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์ประจำประเทศต่างๆ สำรวจลู่ทางการค้าและโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศที่ประจำอยู่ ตามนโยบายนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ล่าสุดได้รับรายงานจาก น.ส.สายพร ใบบริบาลกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองเซี่ยเหมิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ถึงแนวโน้มตลาดอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ของจีนปี 2025 และโอกาส ของผู้ประกอบการไทยในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีน โดยทูตพาณิชย์รายงานว่า ปี 2025 คาดการณ์ว่ายอดขายรวม ในประเทศและส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่ (New Energy Vehicle : NEV) ของจีน จะสูงถึง 16.5 ล้านคัน เติบโต 30% โดยครึ่งแรกของปี 2025 ผู้บริโภคที่เลือกใช้รถพลังงานใหม่ มีสัดส่วนเกิน 60% ซึ่งช่วงราคาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด อยู่ที่ 100,000-150,000 หยวน (456,000-600,000 บาท) ผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและการใช้งานจริง ทำให้ผู้ผลิตเร่งนำเทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะเพื่อทุกคน (Smart Driving for All) จากรุ่นราคาสูงมาใส่ในรุ่นราคาย่อมเยามากขึ้น ทั้งนี้ ทำให้ปัจจุบันรถที่ติดตั้งระบบช่วยขับบนทางด่วนราคาไม่ถึง 100,000 หยวน (456,000 บาท) และรถที่ติดตั้งระบบช่วยขับขี่ ในเขตเมือง ราคาจะอยู่ในช่วงประมาณ 200,000 หยวน (912,000 บาท) สะท้อนให้เห็นว่าจีนกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ของการเข้าถึงเทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะ

อย่างไรก็ตาม ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยอาจใช้กลยุทธ์ของแบรนด์ต่างๆ ที่มีอัตราการเติบโตสูง อาทิ การสร้างแบรนด์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตลาดต่างประเทศ เป็นแนวทางในการออกแบบด้านผลิตภัณฑ์ การกำหนดราคา การใช้เทคโนโลยีการผลิต เพื่อวางแผนส่งออกอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถแข่งขันและตอบสนองความต้องการของตลาดเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม

 

รูปภาพประกอบด้วย ใบหน้าของมนุษย์, คน, ผนัง, ยิ้ม

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

นางพิมพ์ใจ ลี้อิสสระนุกูล

ประธานสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ฯ (CISPI) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

 

3. ส.อ.ท.ผนึกกำลังพาณิชย์ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568)

นางพิมพ์ใจ ลี้อิสสระนุกูล ประธานสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ฯ (CISPI) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ได้หารือแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศไทยร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ โดยมี นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้การต้อนรับ และร่วมประชุม ณ ห้องพาณิชย์สัมพันธ์ กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งการหารือครั้งนี้ มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและวางแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยให้มีความแข็งแกร่งและยั่งยืน โดยมีประเด็นสำคัญที่ครอบคลุม ได้แก่ 1. แผนอัญมณีไทยสู่ยอดส่งออก 1 ล้านล้านบาท ภายใน 5 ปี 2. การพัฒนาร้านอาหารและสมุนไพรไทย รวมถึงการยกระดับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ภายใต้แนวคิด Thai SELECT อย่างยั่งยืนทั้งใน และต่างประเทศ 3. โครงการความร่วมมือ CREATIVE IP CENTER 4. โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ร่วมกันระหว่างสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ SACIT และ CISPI และ 5. โครงการ MY PRiDE : Characters ไทยแท้ สำหรับการดำเนินงานในขั้นตอน ต่อไป สถาบันฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในกระทรวงพาณิชย์จะร่วมมือกันพัฒนา และต่อยอดแผนในประเด็นต่างๆ รวมถึงการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อสนับสนุนแนวทางการหารือในครั้งนี้ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

อย่างไรก็ตาม การเข้าหารือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศไทย อันจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ และส่งเสริมภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลก

 

ข่าวต่างประเทศ

รูปภาพประกอบด้วย ธง, สีแดงเลือดนก, สีน้ำตาลแดง, สีแดง

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

 

4. จีนเผย CPI เดือนต.ค.ดีดตัวขึ้น, PPI ยังลดลงต่อเนื่องเดือนที่ 37 (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568)

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน เปิดเผยรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนตุลาคม 2568 เมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากที่ปรับตัวลง 0.3% ในเดือนกันยายน โดยรายงานระบุว่า ถือเป็นครั้งแรกที่ดัชนี CPI ปรับตัวขึ้นนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน และเพิ่มขึ้นในอัตรารวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม ทั้งนี้ เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI ก็ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนตุลาคม ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนกันยายน

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดราคาสินค้าหน้าประตูโรงงาน ลดลง 2.1% ในเดือนตุลาคม เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันยาวนานถึง 37 เดือน แต่ลดลงน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลง 2.2% หลังจากที่ลดลง 2.3% ในเดือนกันยายน

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)