ข่าวในประเทศ
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ
ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
1. กนอ. -บีไอจี หนุนนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐาน รองรับ Green Transition to New Economy (ที่มา: บ้านเมืองออนไลน์, ประจำวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568)
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ. ในฐานะหน่วยงานภาครัฐ มีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับการบริหารจัดการนิคมอุตสาหกรรมโดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาปรับใช้ในการดำเนินงาน โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ใช้เทคโนโลยีลดคาร์บอนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ สอดรับนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม และถือเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยผลักดันสู่เป้าหมายการลดปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการประกอบอุตสาหกรรม มุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ของประเทศ ทั้งนี้ กนอ. และ บีไอจี จะร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการฯ ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมนำร่องที่มีศักยภาพ โดยบีไอจีจะนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านก๊าซอุตสาหกรรมในพื้นที่ดังกล่าว และมีแผนขยายผลการดำเนินงานไปยังนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีความเหมาะสม ภายใต้กรอบความร่วมมือที่กำหนดไว้ในบันทึกความเข้าใจ โดย กนอ. จะเดินหน้าสนับสนุนผลักดันภาคอุตสาหกรรมไทยสู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือ Green Transition to New Economy กนอ. จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สร้างนิคมอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และร่วมเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายรามานี เวลู กรรมการผู้จัดการ บีไอจี กล่าวว่า บีไอจีมีความภาคภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับ กนอ.ในการขับเคลื่อนโครงการนำร่องเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านก๊าซอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำด้วยประสบการณ์อันยาวนานในนิคมอุตสาหกรรมของประเทศไทย ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งเสริมสร้างขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ Generating a Cleaner Future โดยภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ กนอ. จะให้การสนับสนุนด้านข้อมูล การร่วมศึกษาความเป็นไปได้ ตลอดจนพิจารณาจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในนิคมอุตสาหกรรม เพื่อส่งเสริมให้โครงการนำร่องประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย ขณะเดียวกัน บีไอจี จะมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านก๊าซอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมไทย และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่อย่างยั่งยืน
นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ
อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์
2. พณ.ชี้ช่องบุกตลาดอังกฤษเผยผู้บริโภคใส่ใจสินค้ารักษ์โลก (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568)
นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้มอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ทำการสำรวจลู่ทางการค้า และโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศที่ประจำอยู่ โดยล่าสุดได้รับรายงานจากนายจิรกานต์ เพชรชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ถึงการเติบโตของสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ยั่งยืนในอังกฤษ และโอกาสในการส่งออกอาหารและเครื่องดื่มกลุ่มดังกล่าวของไทยเข้าไปจำหน่าย เพื่อรองรับการเติบโตที่กำลังขยายตัว ทั้งนี้ ทูตพาณิชย์ได้รายงานข้อมูลว่า ปัจจุบัน ผู้บริโภคชาวอังกฤษให้ความสำคัญ ต่อประเด็นเรื่องความ ยั่งยืนของอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials เป็นกลุ่มที่ให้ ความเห็นว่ายินดีจ่ายค่าสินค้า เพิ่มขึ้น 50% หากเป็นสินค้าที่มี การผลิตอย่างยั่งยืน ในขณะที่ ในการสำรวจของ OnePoll ชี้ให้เห็นว่ากว่า 2,000 คน จากกลุ่มตัวอย่างพร้อมจะใช้จ่ายมากขึ้นหากเป็นสินค้าพรีเมียม หรือเป็นอาหารที่มีการผลิตอย่างยั่งยืน และยังเลือกซื้อสินค้ามากขึ้น โดย 1 ใน 10 ของผู้ตอบแบบสอบถาม เห็นว่า พร้อมจะเลิกใช้สินค้ายี่ห้อเดิม เนื่องจากความกังวลเรื่องความยั่งยืน และเปลี่ยนไปใช้สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สำหรับการสื่อสารของแบรนด์ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญในลำดับแรก ได้แก่ การลดขยะ จากการผลิต ความเป็นมิตรกับโลก การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับแบรนด์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคเชื่อถือและเพิ่มความสามารถการแข่งขันในตลาดได้ โดยจากผลการศึกษาพบว่า ร้อยละ 17 มีการตรวจดูตราสัญลักษณ์รับรองความยั่งยืน ร้อยละ 23 ให้ความสำคัญต่อสินค้าที่มีการปฏิบัติที่มีความยั่งยืน ร้อยละ 14 ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าจากการโฆษณาเกี่ยวกับ ความยั่งยืน ร้อยละ 44 มีความกังวลต่อโลกในอนาคต ร้อยละ 25 พยายามมีส่วนร่วมในการลดคาร์บอน ฟุตพริ้นท์ นอกจากนี้ 1 ใน 5 ให้ความสนใจในการซื้อสินค้ายั่งยืนเป็นอันดับแรก
อย่างไรก็ตาม ความยั่งยืนของแบรนด์อาจมีอุปสรรคสำคัญ คือ ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น จากการสร้างความน่าเชื่อถือของแบรนด์ และผู้บริโภคอาจจะต้องเผชิญกับความพึงพอใจต่อการเปลี่ยนมาใช้สินค้าที่มีความยั่งยืนที่มีราคาสูงกว่าแบรนด์อื่น ซึ่งเป็นประเด็นที่เจ้าของแบรนด์จะต้องลงทุนในการสร้างการรับรู้ ให้แบรนด์มีความน่าเชื่อถือ สำหรับประเด็นเรื่อง การผลิตอย่างยั่งยืนในกลุ่ม สินค้าอุปโภค-บริโภค เป็นประเด็นที่ผู้บริโภคชาวอังกฤษให้ความสำคัญ และมีความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่มีอายุน้อยที่มีข้อมูลชี้ให้เห็นชัดเจนว่ามีความพร้อมในการใช้จ่ายสินค้าที่มีความยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีคุณธรรม ซึ่งกลุ่ม GenZ เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสนใจในประเด็นเหล่านี้มากที่สุดและมีกำลังซื้อสินค้า และยังมีความสนใจ ในประเด็นเรื่องรีไซเคิล และการใช้พลาสติกแบบ ครั้งเดียวทิ้งให้น้อยลงอีกด้วย ซึ่งผู้ประกอบการไทย อาจใช้ประเด็นเรื่องการอนุรักษ์ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเข้ามาพิจารณาการพัฒนาสินค้าและบรรจุภัณฑ์ รวมถึงการสร้างการรับรู้ หรือใช้เป็นจุดเด่นในการสร้างตลาดใหม่ในสหราชอาณาจักรได้อีกทางหนึ่ง
น.ส.กาญจนา ขวัญเมือง
รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)
3. สศก.ชี้สถิติการค้าเกษตร เกินดุล 7 แสนล้าน-ส่งจีนมากสุด (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568)
น.ส.กาญจนา ขวัญเมือง รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงสถานการณ์การค้าสินค้าเกษตรของไทยกับโลกในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม - สิงหาคม) ว่าเมื่อพิจารณาสถิติการค้ากับประเทศคู่ค้าสำคัญ พบว่าไทยยังคงเกินดุลการค้ากับคู่ค้าส่วนใหญ่ โดยมีรายละเอียดที่สำคัญ ดังนี้ ไทยและอาเซียน มีมูลค่าการค้าสินค้ารวมสูงสุดที่ 393,390 ล้านบาท แม้จะลดลงร้อยละ 5.81 แต่ไทยยังเกินดุลการค้า 133,264 ล้านบาท โดยมีน้ำตาลที่ได้จากอ้อย และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เป็นสินค้าส่งออกสำคัญ ขณะที่การค้ากับจีน มีมูลค่ารวม 380,177 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.89 แต่ไทยยังเกินดุล สูงถึง 246,101 ล้านบาท โดยมี ทุเรียนสด และ ยางธรรมชาติ เป็นสินค้าส่งออกหลักสำหรับสหรัฐอเมริกา มีมูลค่าการค้า 151,812 ล้านบาท ซึ่งเป็นคู่ค้าที่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.57 โดยไทยเกินดุล 91,310 ล้านบาท มี อาหารสุนัขหรือแมว และข้าว เป็นสินค้าทำเงิน และการค้ากับญี่ปุ่น มีมูลค่า 119,383 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5.52 แต่ไทยยังเกินดุลสูงถึง 97,535 ล้านบาท นำโดยไก่ปรุงแต่ง และ เนื้อไก่และเครื่องใน แช่แข็ง การค้ากับสหภาพยุโรป มีมูลค่า 138,220 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.51 แต่ไทยยังคงเกินดุล 68,112 ล้านบาท โดยมี ไก่ปรุงแต่ง และอาหารสุนัขหรือแมว เป็นสินค้า ส่งออกสำคัญ นอกจากนี้ การค้ากับเอเชียใต้ มูลค่า 69,869 ล้านบาท และรัสเซีย มูลค่า 5,469 ล้านบาท ยังมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 5.49 และร้อยละ 12.15 ตามลำดับ และไทยยังคงเกินดุลการค้ากับทั้งสองภูมิภาค โดยมีน้ำมันปาล์มดิบ ยางธรรมชาติ ปลาทูน่า กระป๋อง สับปะรดปรุงแต่ง เป็นสินค้าส่งออก สำคัญตามลำดับ ส่วนคู่ค้าอื่นๆ เช่น ตะวันออกกลางและแอฟริกา แม้มูลค่าการค้า โดยรวมลดลง แต่ไทยยังคงเกินดุลการค้าได้ในระดับสูง สำหรับกลุ่มประเทศที่ไทย ขาดดุล ได้แก่ ทวีปออสเตรเลีย โอเชียเนีย ทวีปลาตินอเมริกา และสมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าวัตถุดิบและอาหารทะเลแช่แข็งเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมแปรรูป
อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้มการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยในช่วงที่เหลือของปี 2568 มีลักษณะผสมผสาน โดยสินค้าหลักบางรายการที่ชะลอตัว เช่น ข้าว มีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจนจากปัจจัยการแข่งขันด้านราคา ส่วนยางธรรมชาติ ยังเผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจจีนและอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้วัตถุดิบลดลง ขณะที่สินค้าที่ขยายตัว เพิ่มขึ้น เช่น อาหารสุนัขหรือแมว และ อาหารปรุงแต่งอื่นๆ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าเกษตรไทย รวมถึงตลาดใหม่ๆ ที่เปิดรับสินค้าไทยเพิ่มขึ้น การส่งออกโดยรวมแล้ว ไทยยังมีโอกาสในการขยายการส่งออกผ่านการสร้างมูลค่าเพิ่ม การรักษามาตรฐานคุณภาพ
ข่าวต่างประเทศ
4. กัมพูชาส่งออกสินค้าเกษตร 10 เดือนแรกโต 28.5% จีนลูกค้ารายใหญ่ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568)
กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของกัมพูชา เปิดเผยรายงานว่า กัมพูชาส่งออกสินค้าเกษตรรวม 11.89 ล้านตัน ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้น 28.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายงานระบุว่า กัมพูชาทำรายได้รวม 4.18 พันล้านดอลลาร์ จากการส่งออกสินค้าเกษตรไปยัง 90 ประเทศและดินแดนในช่วงเดือนมกราคม - ตุลาคม 2568 โดยสินค้าเกษตรส่งออกหลักของกัมพูชา ได้แก่ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง มะม่วง กล้วย พริกไทย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ลำไย ข้าวโพด และน้ำมันปาล์ม โดยจีนเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญของกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม ทางด้านเพ็ญ โสวิชิต ปลัดและโฆษกกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา กล่าวว่า ภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และความตกลงการค้าเสรีกัมพูชา-จีน (CCFTA) สินค้าของกัมพูชา โดยเฉพาะสินค้าเกษตรคุณภาพสูง เช่น ข้าวขัดสี กล้วยสุก มะม่วง ลำไย พริกไทย และทุเรียน สามารถส่งออกไปจีนโดยได้รับสิทธิพิเศษด้านอัตราภาษี ทั้งนี้ การเกษตรเป็นหนึ่งในสี่เสาหลักค้ำจุนเศรษฐกิจกัมพูชา นอกเหนือจากการส่งออกเสื้อผ้า รองเท้า สินค้าเพื่อการเดินทาง, การท่องเที่ยว, และอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)