ข่าวประจำวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568

ข่าวในประเทศ

รูปภาพประกอบด้วย คน, ใบหน้าของมนุษย์, ผูก, กลางแจ้ง

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

นายธนกร วังบุญคงชนะ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

 

1. ตั้งศูนย์ฝ่าฟันดันเอสเอ็มอี (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568)

นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอี ดี แบงก์ ช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอี 3 ล้านรายให้อยู่รอดได้ท่ามกลางวิกฤติ ล่าสุด ได้เปิดตัว ศูนย์ฝ่าฟัน ดันเอสเอ็มอี ทำหน้าที่ช่วยผู้ประกอบการ ให้รับมือผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้า และการขึ้นภาษีตอบโต้จากสหรัฐ ที่เริ่มมีผลกระทบต่อธุรกิจในไทย เพื่อช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีแบบครบวงจร และเปิดทั้งหมด 96 แห่งทั่วประเทศ และยังให้เอสเอ็มอี ดี แบงก์ ผ่อนปรนแนวทางให้สินเชื่อซึ่งมีเงินกว่า 30,000 ล้านบาท ช่วยให้ภาคธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินกู้ง่ายขึ้น โดยไม่กระทบต่อฐานะของธนาคาร รวมถึงดูแลเรื่องการเพิ่มทักษะการแก้ไขหนี้สินและหนี้เสียด้วย ทั้งนี้ ทางด้านนายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวว่า ศูนย์ฝ่าฟัน ดัน เอสเอ็มอี จะเปิดให้บริการที่ธนาคารทั้ง 96 สาขาทั่วประเทศ มีจุดเด่น คือ นำศักยภาพและความเชี่ยวชาญของหน่วยงานพันธมิตร 15 หน่วยงาน มาผสานเชื่อมโยงกันช่วยเหลือ เอสเอ็มอี 3 ด้านสำคัญ โดยด้านแรกคือการเติมทุนพาเข้าถึงสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท สำหรับด้านต่อมา คือการเติมความรู้ พัฒนาธุรกิจครบวงจรผ่านแพลตฟอร์ม ดีเอ็กซ์ บาย เอสเอ็มอี ดี แบงก์ หรือ dx.smebank.co.th ให้บริการตลอด 24 ชม. โดยมีฟีเจอร์สำคัญ ๆ เช่น ระบบตรวจสุขภาพทางธุรกิจ การเรียนหลักสูตรออนไลน์ ช่วยเพิ่มศักยภาพการประกอบธุรกิจ และด้านสุดท้าย คือ การเติมโอกาส ด้วยการแก้ไขหนี้อย่างยั่งยืน ด้วยมาตรการ 3 ลด ปลดหนี้ ได้แก่การลดผ่อน ปรับวงเงินการผ่อนชำระ, การลดเงินต้น ปรับโครงสร้าง และการลดดอกเบี้ยค้างชำระ ช่วยลดภาระการเงิน

อย่างไรก็ตาม ธนาคารได้รับวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ คงที่ 3% นาน 3 ปี สำหรับช่วยเหลือเอสเอ็มอีอยู่ 30,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันได้ปล่อยกู้ไปแล้ว 15,000 ล้านบาท และยังมีเหลือพอที่จะช่วยภาคเอสเอ็มอีได้ ส่วนโครงการปิดหนี้ไวไปได้ต่อนั้น เบื้องต้นธนาคารมีหนี้เสียที่เข้าข่ายไม่เยอะ ดังนั้นธนาคารอาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายหลัก แต่หากส่วนใดเข้าข่ายก็พร้อมนำเข้าโครงการทันที

 

นายศุภกิจ บุญศิริ

ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)

 

2. สศอ. ชี้ 'ฮาลาล' โอกาสทองเศรษฐกิจไทย เร่งดันส่วนแบ่งไทยขึ้นผู้นำอาเซียน (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, ประจำวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568)

นายศุภกิจ บุญศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) Special Talk | THAILAND’s NEW PROSPECT: The Global Halal Economy ในงานสัมมนา Thailand’s New Prospect ที่จัดโดย "เนชั่น กรุ๊ป" ว่า อุตสาหกรรมฮาลาลถือเป็นประเด็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศไทยในปัจจุบัน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้สู่ความมั่นคง และยั่งยืน เนื่องจากอุตสาหกรรมฮาลาลมีตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีผู้บริโภคจำนวนมหาศาลทั่วโลก นับเป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยจะสามารถผลักดันสินค้า และบริการฮาลาลให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลต่อไป ทั้งนี้ สศอ. ได้ดำเนินการศึกษาทั้งระบบนิเวศ (Ecosystem) ของอุตสาหกรรมฮาลาล อย่างรอบด้านในปี 2023 พบว่า ฮาลาลไม่ได้เป็นเพียงเรื่องอาหารอย่างเดียว   แต่ยังครอบคลุมสินค้า และบริการอื่นๆ ที่มีศักยภาพเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยา, เครื่องสำอาง, เคมีภัณฑ์, เสื้อผ้า, เครื่องมือแพทย์, สมุนไพร, อาหารเสริม, อาหารสัตว์, บรรจุภัณฑ์, ตลอดจนการท่องเที่ยวและการขนส่ง ซึ่งจากการศึกษาพบว่ามูลค่าตลาดโลกฮาลาลรวม (ปี 2023) มีมูลค่าสูงถึง 1.36 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเป็นสินค้าฮาลาลมีมูลค่าถึง 546,000 ล้านดอลลาร์ โดยมีสินค้าหลักประกอบด้วย 1. อาหารฮาลาล มีสัดส่วนสูงที่สุดถึง 43% มูลค่ากว่า 200,000 ล้านดอลลาร์  2. เคมีภัณฑ์สัดส่วนสูงถึง 26% 3.ยา สัดส่วนประมาณ 11% ของมูลค่าสินค้าทั้งหมด ส่วนบริการฮาลาลมีมูลค่า 815,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับประเทศไทยมี 5 อุตสาหกรรมที่มีความสามารถในการแข่งขันและมีความโดดเด่นมากในการสนองตอบต่อตลาดฮาลาล ได้แก่ 1. อาหารการพืช มีศักยภาพสูงในการแปรรูปวัตถุดิบ เช่น น้ำตาล น้ำมันปาล์ม และผลไม้ต่างๆ 2. กลุ่มอาหารสัตว์ โดยเฉพาะการส่งออกเนื้อสัตว์ปีก ซึ่งได้รับการยอมรับ 3. กลุ่มสมุนไพร และเวชภัณฑ์ ถือเป็นจุดแข็ง    ของไทยเนื่องจากมีทรัพยากรวัตถุดิบ 4. กลุ่มเครื่องสำอาง และ 5. กลุ่มสิ่งของ และแฟชั่น ส่วนประเทศผู้ส่งออกหลักในตลาดฮาลาลโลก 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน สหรัฐ อินเดีย เยอรมนี และบราซิล ส่วนประเทศผู้นำเข้า และบริโภคหลักคือกลุ่ม OIC (ประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม) นำโดยตุรกี 18% ราว 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์, ซาอุดีอาระเบีย, อินโดนีเซีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และมาเลเซีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับผู้ประกอบการไทย

อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดฮาลาลโลกจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 6–8% แต่สินค้าไทยยังเติบโตเพียง 4.2% ซึ่งต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริง จึงจำเป็นต้องเร่งวางยุทธศาสตร์เพื่อผลักดันการเติบโตไม่น้อยกว่า 10% และผลักดันไทยให้เป็น “ศูนย์กลางฮาลาลของอาเซียน” ทั้งนี้ สศอ. ได้กำหนดแผนพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567–2571) ครอบคลุมการยกระดับมาตรฐานฮาลาลให้เป็นสากล สร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์และบริการ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิต และโลจิสติกส์ รวมถึงการจัดตั้ง “นิคมอุตสาหกรรมฮาลาล” เพื่อรองรับการลงทุนในอนาคต พร้อมกันนี้ยังเตรียมส่งเสริมการวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยี บุคลากรเฉพาะทาง การจัดแสดงสินค้า การขยายตลาดผ่านอีคอมเมิร์ซ และการสร้างความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคี และพหุภาคีกับประเทศอาเซียน และทั่วโลก โดยฮาลาล คือ ประตูเศรษฐกิจใหม่ของไทย ที่สามารถต่อยอดจากจุดแข็งของประเทศ ทั้งด้านอาหาร การท่องเที่ยว และสุขภาพ ซึ่ง สศอ. จะผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยก้าวสู่แนวหน้าธุรกิจฮาลาลโลกอย่างยั่งยืน

 

รูปภาพประกอบด้วย คน, ผนัง, ใบหน้าของมนุษย์, เสื้อผ้า

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ

อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)กระทรวงพาณิชย์

 

3. DITP รุกตลาดแอฟริกาใต้ ขยายโอกาสการค้าการลงทุนไทย (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568)

นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้มอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ทำการสำรวจลู่ทางการค้าและโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศที่ประจำอยู่ ตามนโยบายนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยล่าสุดได้รับรายงานจากนางวิชุดา อัครเมธาทิพย์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงพริทอเรีย แอฟริกาใต้ ถึงการปรับนโยบายการค้าของแอฟริกาใต้ หลังจากที่ถูกสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้า โดยมีแผนที่จะขยายความร่วมมือการค้ากับประเทศในเอเชียเพิ่มขึ้น และเป็นโอกาสที่ไทยจะขยายการค้าได้มากขึ้น โดยทูตพาณิชย์ได้รายงานว่า ปัจจุบันสหรัฐฯ   ได้เก็บภาษีนำเข้า 30% ต่อสินค้าบางรายการที่นำเข้าจากแอฟริกาใต้ ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อภาคเกษตรและอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศ โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้ GDP หดตัวลงถึง 0.4% ในปีนี้ และอาจกระทบต่อการจ้างงานหลายพันตำแหน่งซึ่งโครงสร้างการส่งออกของแอฟริกาใต้ยังคงพึ่งพาตลาดส่งออกหลักเพียงไม่กี่ประเทศและเน้นวัตถุดิบมากเกินไป จึงจำเป็นต้องหันมาสร้างมูลค่าเพิ่มและขยายตลาดใหม่ๆ ทั้งนี้ แอฟริกาใต้โดยประธานาธิบดีไซริล รามาโฟซา มีแผนที่จะเดินทาง เยือนประเทศในเอเชีตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มต้น ด้วยการเยือนอินโดนีเซียและเวียดนาม ก่อนการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ในฐานะแขกของประธาน เพื่อหารือด้านการค้าและ    การลงทุนกับประเทศที่ถูกมองว่าเป็นตลาดสำคัญ สำหรับยุทธศาสตร์การกระจายความเสี่ยงของแอฟริกาใต้ โดยเฉพาะอินโดนีเซีย เวียดนาม ไทย มาเลเซียและฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็ว และมีประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมากขณะเดียวกัน แอฟริกาใต้จะเร่งใช้ประโยชน์จากเขตการค้าเสรีทวีปแอฟริกา (African Continental Free Trade Area : AfCFTA) ที่เปิดโอกาสให้เข้าถึงตลาดกว่า 1.3 พันล้านคน โดยชี้ว่า สินค้าเกษตรจากแอฟริกาใต้ที่ส่งออกไปยังประเทศในทวีปแอฟริกาได้รับความนิยมสูง และควรต่อยอดโดยใช้ฐานการผลิต การเงิน โลจิสติกส์ และแบรนด์ที่เข้มแข็ง เพื่อทำให้แอฟริกาใต้เป็นพันธมิตรทางการค้าอันดับต้นๆ ของทวีป

อย่างไรก็ตาม จากนโยบายที่แอฟริกาใต้หันมาขยายความร่วมมือทางการค้ากับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สะท้อนถึงความพยายามในการลดการพึ่งพาตลาดดั้งเดิมและสร้างสมดุลต่อแรงกดดันจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยไทยถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจ เพราะไทยถูกกล่าวถึงโดยตรงว่าเป็นหนึ่งในตลาดเป้าหมายซึ่งอาจนำไปสู่การเจรจาความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร อาหาร และอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วน ซึ่ง DITP จะติดตามอย่างใกล้ชิด และหาช่องทางในการขยายความร่วมมือด้านการค้า การลงทุนของไทยกับแอฟริกาใต้ในทุกรูปแบบต่อไป

 

ข่าวต่างประเทศ

รูปภาพประกอบด้วย ธง, สีน้ำตาลแดง

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

 

4. แบงก์ชาติฝรั่งเศสคาดเศรษฐกิจโตต่อเนื่องใน Q4 แม้การเมืองมีความเสี่ยง (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568)

ธนาคารกลางฝรั่งเศส เปิดเผยคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจภายในประเทศจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4/2568 แม้ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นทั้งในด้านการเมืองและงบประมาณยังคงฉุดรั้งภาคธุรกิจของฝรั่งเศสก็ตาม โดยผลสำรวจรายเดือนของธนาคารกลางฝรั่งเศสบ่งชี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) มีแนวโน้มขยายตัวอีกเล็กน้อยในไตรมาส 4 หลังจากมีการขยายตัว 0.5% ในไตรมาส 3 ซึ่งถือเป็นระดับที่แข็งแกร่งเกินคาด โดยได้แรงหนุนจากการลงทุนและการส่งออก ทั้งนี้ ผลสำรวจดังกล่าวของธนาคารกลางฝรั่งเศส ได้จากการสอบถามความเห็นของบริษัทเอกชนจำนวน 8,500 แห่ง รวมทั้งพิจารณาจากตัวชี้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจล่าสุด โดยดัชนีชี้วัดความไม่แน่นอนของธนาคารกลางฝรั่งเศสซึ่งอิงจากการตอบกลับจากบรรดาผู้นำธุรกิจนั้น ปรับตัวลดลงเล็กน้อยในภาคอุตสาหกรรมและการบริการในเดือนตุลาคม

อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจฝรั่งเศสยังสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้วิกฤตการณ์ทางการเมืองได้ทำให้ฝรั่งเศสเปลี่ยนรัฐบาลหลายครั้ง และทำให้ประเทศไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการอนุมัติงบประมาณ นอกจากนี้ ภาคธุรกิจยังเผชิญกับอุปสรรค เมื่อสมาชิกสภานิติบัญญัติได้ลงมติแก้ไขร่างกฎหมายซึ่งจะทำให้อัตราภาษีที่เรียกเก็บจากบริษัทขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากกฎหมายการเงินดังกล่าวถูกบังคับใช้ในท้ายที่สุด แต่ถึงกระนั้นก็ตาม นับจนถึงขณะนี้ ความไม่แน่นอนดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อภาคครัวเรือนมากกว่าภาคธุรกิจ เนื่องจากอัตราการออมยังคงสูง และการใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)