ข่าวในประเทศ
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
1. ศุภจี หารือ ทูตเกาหลีใต้ ดันปิดดีล FTA-ดึงลงทุนอุตสาหกรรมนำสมัย (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568)
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้พบหารือกับนายปาร์ค ยงมิน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะผลักดันให้การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม ไทย-เกาหลีใต้ ประสบผลสำเร็จ เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจสู่การเป็น “หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รอบด้าน” พร้อมเชิญนักลงทุนเกาหลีใต้เข้ามาลงทุนเพิ่มในไทย ซึ่งการเจรจา FTA ไทย-เกาหลีใต้ หรือเรียกว่า “ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม (Comprehensive Economic Partnership Agreement: CEPA) ไทย-เกาหลีใต้” ซึ่งกำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ จะเป็นความตกลงที่ช่วยยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนของทั้งสองประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพิ่มเติมจากความตกลงการค้าเสรีที่ไทยและเกาหลีใต้มีอยู่เดิม ซึ่งมีความสำคัญมากโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่บริบทเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเร่งเดินหน้าการเจรจาโดยมุ่งมั่นที่จะให้ได้ผลลัพธ์ที่เกิดประโยชน์ร่วมกัน (Win-Win)
อย่างไรก็ตาม ได้เชิญชวนนักลงทุนจากเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นผู้นำแห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยเฉพาะสาขาที่เกาหลีใต้มีความโดดเด่น อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ พลังงานสะอาด ดิจิทัล และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อใช้ไทยเป็นฐานการผลิตและเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตสินค้าของเกาหลีใต้เพื่อส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ซึ่งทราบว่าปัจจุบันมีนักลงทุนเกาหลีใต้เข้ามาลงทุนในไทยกว่า 400 บริษัท โดยเฉพาะบริษัทยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ อาทิ บริษัทฮุนได และบริษัท COSMAX ที่เป็นผู้นำด้านการผลิตสินค้าความงามของเกาหลีใต้ เกาหลีใต้จึงขอให้รัฐบาลไทยช่วยดูแลและสนับสนุนการลงทุนของบริษัทเกาหลีใต้ในไทย โดยตนยืนยันว่ารัฐบาลไทยมีนโยบายที่จะปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ให้มีความโปร่งใสและอำนวยความสะดวกต่อนักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้ ไทยได้แสดงความพร้อมในการเข้าเป็นสมาชิก OCED และขอบคุณเกาหลีใต้ที่สนับสนุนไทยในเรื่องดังกล่าว
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์
2. ดัชนีเชื่อมั่นชายแดนใต้ไตรมาส 3 ขยับยกแผง (ที่มา: ข่าวสด, ประจำวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568)
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึง ดัชนีความเชื่อมั่นจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไตรมาส 3 ปี 2568 ว่า ดัชนีโดยรวมปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 55.35 จากระดับ 54.13 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจปรับเพิ่มเป็น 56.40 จากระดับ 55.23 ด้านสังคมปรับเพิ่มเป็น 53.82 จากระดับ 53.39 และด้านความมั่นคงปรับเพิ่มเป็น 53.48 จากระดับ 51.77 ซึ่งดัชนีความเชื่อมั่นทั้ง 3 รายการยังคงอยู่ในช่วงเชื่อมั่น สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นในปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 51.36 จากระดับ 50.11 และความเชื่อมั่นในอนาคต (3 เดือนข้างหน้า) ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 59.34 จากระดับ 58.16 โดยยังอยู่ในช่วงเชื่อมั่น สำหรับสาเหตุของการปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจและสังคม เกิดจากราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น โดยเฉพาะปาล์มน้ำมัน นักท่องเที่ยวมาเลเซียเข้ามาเพิ่มขึ้นช่วงหยุดยาววันชาติ และประชาชนมีทัศนคติเชิงบวกต่อรัฐบาลใหม่ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นด้านความมั่นคงปรับเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ความไม่สงบที่ลดลงจากไตรมาสก่อน ซึ่งปัญหาด้านความมั่นคงและภาวะเศรษฐกิจ ที่ชะลอตัว ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ เมื่อแยกรายจังหวัด จะเห็นว่าสตูลมีความเชื่อมั่นสูงสุด เนื่องจากความเชื่อมั่นด้านสังคมและความมั่นคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าจังหวัดอื่นๆ ขณะที่ความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจใกล้เคียงกับ จังหวัดอื่นๆ รองลงมา คือสงขลา ปัตตานี นราธิวาส และยะลา
อย่างไรก็ตาม สำหรับความเชื่อมั่นในปัจจุบันและในอนาคต (3 เดือนข้างหน้า) ปรับเพิ่มขึ้นทุกจังหวัด โดยความเชื่อมั่นในปัจจุบันและในอนาคตยังอยู่ในช่วงเชื่อมั่นทุกจังหวัด สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนใหญ่มีมุมมองเชิงบวกต่อสถานการณ์ในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต
นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ
ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
3. ส.อ.ท.จุดพลุตลาดสมุนไพรแสนล้าน (ที่มา: ข่าวสด, ประจำวันที่ 17พฤศจิกายน 2568)
นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท.ได้หารือถึงแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการสมุนไพร เพื่อแก้ปัญหาปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ หลังจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สุ่มเก็บตัวอย่างยาดมสมุนไพรและพบการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์เกินค่ามาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2564 โดยปกติผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เครื่องสำอาง อาหาร เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ และสมุนไพรต้องผ่านการฆ่าเชื้อด้วยการฉายรังสี แต่ปัจจุบันเครื่องฉายรังสีในไทยมีเพียง 10 เครื่อง ดังนั้น ทางกลุ่มจะเข้ามาเป็นตัวกลางในการรวบรวมผู้ให้บริการเครื่องฉายรังสีให้กับโรงงานสมุนไพร โดยจะหารือกับภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การฉายรังสีเพียงพอ เพราะสมุนไพรไทยมีศักยภาพสูงในตลาดโลก เป็นส่วนหนึ่งของ "ซอฟต์พาวเวอร์" ไทย ทั้งนี้ ประเทศไทยมีการบริโภคผลิตภัณฑ์สมุนไพรอันดับ 7 ของโลก มีขนาดตลาดอันดับ 4 ของเอเชีย รองจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเป็นผู้นำการส่งออกสมุนไพรอันดับ 1 ของอาเซียน แต่ในตลาดโลกยังไม่ติด 1 ใน 10 เนื่องจากยังมีข้อจำกัดด้านมาตรฐานการผลิต สำหรับตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรทั่วโลก มีมูลค่า 60,165.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อยู่ในภูมิภาคเอเชีย ถึง 57.6% อเมริกา 22.1% ยุโรป 22.1% ตะวันออกกลาง 1.5% ออสเตรเลีย 0.9% คาดการณ์ปี 2573 ทะลุ 2.7 ล้านล้านบาท เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ยา เครื่องสำอางที่ได้รับความนิยม ขิง กระเทียม โสม และคาโมมายล์
อย่างไรก็ตาม หากไทยสร้างมาตรฐานสากลได้ มั่นใจว่าภายใน 5 ปี สมุนไพรไทยจะติด 1 ใน 10 ของโลก จากความโดดเด่นของสายพันธุ์ที่ไม่เหมือนใคร คาดว่าตลาดสมุนไพรไทย ในปี 2570 จะมีมูลค่า 100,000 ล้านบาท ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ ยาอาหารเสริมสุขภาพ เครื่องสำอาง เครื่องดื่มสมุนไพรที่ได้รับความนิยม ขมิ้นชัน กระชายขาว ตะไคร้หอม บัวบก เป็นต้น
ข่าวต่างประเทศ
4. ญี่ปุ่นเผย GDP Q3/68 หดตัวครั้งแรกในรอบหกไตรมาส เหตุภาษีทรัมป์ฉุดส่งออกร่วง (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568)
สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2568 ของญี่ปุ่น หดตัวลง 1.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรก ในรอบหกไตรมาส โดยถูกกดดันจากการส่งออกที่อ่อนแอลง อันเนื่องมาจากการที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีศุลกากร รวมทั้งการชะลอตัวของการลงทุนด้านที่อยู่อาศัย โดยตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะหดตัว 2.5% โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในภาครัฐ ส่วนเมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ตัวเลข GDP ไตรมาส 3 หดตัวลง 0.4% ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะหดตัว 0.6% ทั้งนี้ รายงานของรัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่า ยอดส่งออกในไตรมาส 3 ลดลง 1.2% จากไตรมาส 2 ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบสองไตรมาส เนื่องจากการส่งออกรถยนต์ซบเซาลง อันเป็นผลกระทบเชิงลบจากมาตรการภาษีศุลกากรที่บังคับใช้โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ขณะที่ยอดนำเข้าลดลง 0.1% ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบสามไตรมาส
อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงทุนด้านที่อยู่อาศัยลดลง 9.4% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบสามไตรมาส ขณะที่การบริโภคในภาคเอกชน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจ ปรับตัวขึ้น 0.1% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นไตรมาสที่หก โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของอุปสงค์เครื่องดื่ม ส่วนองค์ประกอบสำคัญอื่นๆ ของตัวเลข GDP นั้น การลงทุนในทรัพย์สินประเภททุนเพิ่มขึ้น 1.0% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สี่ โดยได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)