ข่าวในประเทศ
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
1. พาณิชย์จัดกระเช้า “GI ไทย ส่งสุขปีใหม่ สุขใจชุมชน” ชูแคมเปญส่งเสริมการตลาด GI เสริมแกร่งผู้ประกอบการไทย (ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, ประจำวันที่ 3 ธันวาคม 2568)
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยคณะของกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า ได้นำกระเช้า GI ส่งสุขปีใหม่ มาจัดแสดงให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี รับทราบ พร้อมแนะนำแคมเปญ “GI ไทย ส่งสุขปีใหม่ สุขใจชุมชน” โดยผนึกกำลังห้างร้านและภาคเอกชนร่วมส่งเสริมการตลาดสินค้า GI ผ่านกระเช้าของขวัญปีใหม่ที่บรรจุสินค้า GI นานาชนิด เพื่อเผยแพร่อัตลักษณ์ คุณค่า และศักยภาพสินค้า GI ไทย ว่ามีคุณภาพไม่แพ้สินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยยกระดับสินค้าชุมชนและต่อยอดสร้างมูลค่า เชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรม ณ โถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งการส่งเสริมสินค้า GI เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญตามนโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพาณิชย์ โดยให้ความสำคัญกับการเสริมแกร่งผู้ประกอบการ SMEs ด้วย การเพิ่มรายได้จากผลผลิต GI ซึ่งเป็นของดีประจำถิ่นที่มีอัตลักษณ์ และมีเอกลักษณ์พิเศษตามสภาพดิน น้ำ อากาศ หรือ ภูมิปัญญาในพื้นที่ ส่งผลให้สินค้า GI สามารถเพิ่มมูลค่าได้มากกว่าสินค้าทั่วไป 2-5 เท่า ตัวอย่างเช่น กาแฟเทพเสด็จ (เชียงใหม่) ราคาขายก่อนเป็น GI อยู่ที่กิโลกรัมละ 400 บาท แต่เมื่อได้เป็น GI ราคาขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 800 บาท ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ (มหาสารคาม ยโสธร ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ และสุรินทร์) ราคาขายก่อนเป็น GI อยู่ที่กิโลกรัมละ 33 บาท แต่เมื่อได้เป็น GI ราคากิโลกรัมละ 55 บาท เป็นต้น โดยปัจจุบันกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ประกาศขึ้นทะเบียนสินค้า GI ไทยแล้วทั้งสิ้น 243 รายการ ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นจากทั่วประเทศ มีทั้งกลุ่มอาหาร ผลไม้ เครื่องดื่ม และงานศิลปหัตถกรรมพื้นถิ่น โดยสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 114,329 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา มุ่งมั่นที่จะพัฒนาต่อยอดสินค้า GI ไทยอย่างครบวงจร โดยหลังจากขึ้นทะเบียน GI แล้ว ก็จะมีการจัดทำระบบควบคุมคุณภาพสินค้าเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค พร้อมยกระดับภาพลักษณ์และขยายช่องทางการค้าสู่ตลาดใหม่ๆ เพื่อสร้างรายได้เข้าสู่ชุมชนอย่างยั่งยืน และสำหรับช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ส่งเสริมการบริโภคสินค้าท้องถิ่นอย่าง GI โดยมีการผนึกกำลังกับภาคเอกชนหลายแห่งนำสินค้า GI ไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ เช่น จัดกระเช้าของขวัญ ชุดของที่ระลึกระดับพรีเมียม เป็นต้น ซึ่งผู้ที่กำลังมองหาของขวัญแทนความปรารถดีเพื่อมอบให้กับคนที่รักและห่วงใยในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ เชื่อว่า “กระเช้า GI ส่งสุขปีใหม่” คือของขวัญที่ตอบโจทย์ผู้ให้และถูกใจผู้รับได้อย่างแท้จริง
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)
2. แนะเพิ่ม 'โลจิสติกส์' ชายแดนไทย-มาเลย์ (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 3 ธันวาคม 2568)
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยการวิเคราะห์ผลกระทบของสถานการณ์น้ำท่วมใน 10 จังหวัดภาคใต้ กับการค้าชายแดนไทย-มาเลเซียว่า สถานการณ์อุทกภัยครั้งนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายเพียงแค่ทรัพย์สินของประชาชนเท่านั้น แต่กลายเป็นบททดสอบสำคัญของระบบโลจิสติกส์การค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย ซึ่งจุดวิกฤตที่รุนแรงที่สุด คือ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์สำคัญของภาคใต้ ก่อนสินค้าเดินทางไปด่านชายแดนสะเดาและปาดังเบซาร์ ด้วยลักษณะภูมิประเทศเป็นแอ่งกระทะทำให้น้ำระบายไม่ทัน การขนส่งทางถนนแทบหยุดชะงัก แม้ด่านศุลกากรหลัก สะเดา และปาดังเบซาร์ คงเปิดทำการตามปกติ แต่ทางปฏิบัติภาคการส่งออกกำลังเผชิญภาวะชะงักงัน เส้นทางขนส่งทางถนนสายหลักสู่ด่านถูกตัดขาดหรือสัญจรยากลำบาก จึงเป็นความเสี่ยงด้านส่งออก ทั้งนี้ ความเปราะบางของโครงสร้างการค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่พึ่งพาช่องทางหลักมากเกินไป สะท้อนสถิติ 10 เดือนแรก 2568 ที่มูลค่าการค้ารวมกว่า 96% กระจุกตัวอยู่ที่ 2 ด่านหลัก คือ ด่านศุลกากรสะเดา ส่งออกเฉลี่ย 311.6 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน หรือประมาณ 10,947 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 76.30% ของการค้าชายแดนไทยกับมาเลเซีย ส่วนด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ส่งออกเฉลี่ย 90.0 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน หรือประมาณ 3,162 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 20.06% หากน้ำท่วมยืดเยื้อไทยอาจสูญเสียรายได้จากการส่งออกผ่านทั้งสองด่านรวมสูงถึง 400 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน หรือประมาณ 14,100 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สินค้าส่งออกผ่านด่านนี้เป็นสินค้าเชิงยุทธศาสตร์ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ ส่วนประกอบรถยนต์ แผงวงจรไฟฟ้า และน้ำยางข้น หากขนส่งชะงักส่งผลกระทบ 2 มิติ คือ 1. อุตสาหกรรม หากส่งตรงเวลาเข้าโรงงานในมาเลเซียและสิงคโปร์ แม้หาเส้นทางอ้อมได้ แต่ต้นทุนเพิ่มขึ้น 30-40% และใช้เวลานานกว่าปกติ 2-3 เท่า แต่หากส่งมอบล่าช้าอาจกระทบไลน์การผลิตแบบ Just-in-Time บางออเดอร์อาจต้องยกเลิกเพราะส่งไม่ทัน 2. กลุ่มสินค้าเกษตร เจอปัญหาเน่าเสียง่าย เสี่ยงเสียหายสูงสุด หากรถติดค้างนาน นอกจากนี้ ยังเจอเรื่องทำตามระเบียบ เช่น การออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า มีระบบอินเตอร์เน็ตล่มและระงับจ่ายกระแสไฟฟ้า ทำให้เกิดความล่าช้าในการส่งออกสินค้า ภัยคุกคามต่อห่วงโซ่อุปทานภูมิภาค อีกทั้งด่านสะเดาไม่ใช่แค่จุดผ่านแดนธรรมดา แต่เป็นเส้นทางโลจิสติกส์หลักเชื่อมต่อไปยังท่าเรือปีนัง ท่าเรือสำคัญของมาเลเซียที่ส่งออกสินค้าไปทั่วโลก สำหรับแนวทางแก้ไขที่เป็นโจทย์ใหญ่คือการกระจายความเสี่ยงเส้นทางโลจิสติกส์ในระยะยาว เช่น พัฒนาศักยภาพด่านชายแดนอื่นๆ เช่น บ้านประกอบ เบตง และสุไหงโก-ลก ให้รองรับปริมาณการค้าได้มากขึ้น และพัฒนาระบบขนส่งหลายรูปแบบที่ผสมผสานทั้งทางถนน รถไฟ และทางน้ำ เพิ่มจากแก้ไขโครงสร้างของหาดใหญ่ทั้งระบบระบายน้ำและผังเมืองครั้งใหญ่
นายธนวรรธน์ พลวิชัย
อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
3. ม.หอการค้าฯ หั่นจีดีพี ปี 68 เหลือ 1.9% ชี้ น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้เสียหาย 4 หมื่นล้านบาท (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, ประจำวันที่ 3 ธันวาคม 2568)
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ได้ปรับประมาณการจีดีพีไทยปี 2568 ลดลงมาอยู่ที่ 1.9% จาก 2% โดยสาเหตุหลักมาจากผลกระทบและความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจการค้าใหญ่ของภาคใต้ ผลกระทบน้ำท่วมที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จะมีมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท (ช่วง 1 เดือน) ซึ่งกระทบต่อ GDP ให้ลดลงราว 0.22% นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยลบอื่นๆ กดดัน เช่น จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ ที่คาดว่าจะลดลงเหลือ 32.8 ล้านคน จากเดิมคาดไว้ 33 ล้านคน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ อีกทั้งการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวที่ลดลง จากพฤติกรรมที่ประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น รวมถึงอุปสงค์ภาครัฐในช่วงไตรมาส 3 ที่ลดลงเกือบ 4% ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้ ส่งผลให้มีการปรับลด GDP ของปีนี้ลงเหลือ 1.9% โดยเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยการส่งออกที่โต 11.1% และการลงทุนของภาครัฐ 6.4% แต่ถูกฉุดรั้งด้วยการอุปโภคภาครัฐที่หดตัวแรงในไตรมาสที่ 3 และผลกระทบจากน้ำท่วมภาคใต้ช่วงปลายปี
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ปี 2569 ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 1.6% โดยปัจจัยบวกที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ได้แก่ 1. ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง คาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวที่ที่ 35 ล้านคน และสร้างรายได้ 1.65 ล้านล้านบาท 2. อุปสงค์ในประเทศขยายตัว การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุน คาดว่า จะขยายตัวที่ 2% 3. งบลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น 18.2% โดยมีเป้าเบิกจ่ายงบลงทุนสูงถึง 70% ในงบประมาณรายจ่ายปี 2569 4. ภาคเกษตรได้ประโยชน์จากสภาพอากาศมีความเป็นกลางและปริมาณน้ำเพียงพอ และ 5. เม็ดเงินจากการเลือกตั้ง ที่คาดว่า จะอยู่ที่ 5-6 หมื่นล้านบาท
ข่าวต่างประเทศ
4. GDP ออสเตรเลียโตต่ำกว่าคาดใน Q3/68 ลดโอกาสธนาคารกลางหั่นดอกเบี้ย (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 3 ธันวาคม 2568)
สำนักงานสถิติแห่งชาติออสเตรเลีย เปิดเผยรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัวเพียง 0.4% ในไตรมาส 3/2568 เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 0.7% และเมื่อเทียบเป็นรายปี ตัวเลข GDP ขยายตัว 2.1% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 2.2% โดยปัจจัยที่ทำให้ GDP ของออสเตรเลียขยายตัวต่ำกว่าคาดในไตรมาส 3 มาจากการที่ภาคครัวเรือนพากันออมรายได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งส่งผลให้ภาพรวมความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจภายในประเทศมีความไม่ชัดเจน อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่าตลาดอาจจะคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไป ทั้งนี้ สำหรับสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลง และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลงหลังจากสำนักงานสถิติเปิดเผยตัวเลข GDP ซึ่งสวนทางกับในช่วงแรกที่ดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น อันเนื่องมาจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางออสเตรเลียจะดำเนินนโยบายคุมเข้มทางการเงินเชิงรุกมากขึ้นในปีหน้า
อย่างไรก็ตาม การเปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาส 3 มีขึ้นก่อนที่คณะกรรมการ RBA จะประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 9 ธันวาคม 2568 โดยตลาดคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า RBA จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 3.6% หลังจากที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 3 ครั้งในปีนี้
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)