ข่าวในประเทศ
นายธนกร วังบุญคงชนะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
1. รัฐหนุนอุตสาหกรรมน้ำตาลสีเขียว ตัดอ้อยสดเข้าหีบช่วยลด PM2.5 (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 8 ธันวาคม 2568)
นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) รายงานปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้งหมดในปีนี้เป็นอ้อยสด 100% ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดีของการเริ่มหีบอ้อยในฤดูการผลิตปี 2568/69 ที่ได้ร่วมกันสร้าง “อากาศดี เศรษฐกิจดี” ทำให้อุตสาหกรรมน้ำตาลไทยเติบโตคู่ชุมชนได้ โดยไม่ทำร้ายสังคม โดยประชาชน นักท่องเที่ยว และภาคธุรกิจอื่นๆ สามารถจับจ่ายใช้สอย ทำให้เกิดการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจบนพื้นฐานของอากาศสะอาดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งตามมาตรการแก้ไขปัญหาการเผาอ้อยและลดปัญหาฝุ่นมลพิษ PM2.5 ฤดูการผลิตปี 2568/69 ที่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) กำหนดให้โรงงานน้ำตาลรับเฉพาะอ้อยสดเข้าหีบตั้งแต่เริ่มต้นหีบอ้อยจนถึงวันที่ 10 มกราคม 2568 เพื่อรักษาอากาศบริสุทธิ์และบรรยากาศที่ดีให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว ตั้งแต่เริ่มเปิดหีบตลอดเทศกาลปีใหม่และวันเด็กแห่งชาติ ทั้งนี้ ขอชื่นชมและขอบคุณโรงงานในกลุ่มที่ 1 รวมไปถึงชาวไร่อ้อยที่ส่งอ้อยสดเข้าหีบ พวกท่านถือเป็นต้นแบบของความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะทำอ้อยสด เห็นได้จากตัวเลขอ้อยสดเข้าหีบ 100% ผมเชื่อมั่นว่าจะความมุ่งมั่นตั้งใจนี้จะส่งต่อให้กับโรงงานน้ำตาลในกลุ่มที่เหลือรวม 49 โรงงานน้ำตาล และชาวไร่อ้อยรายอื่นๆ ให้ภาพรวมของอ้อยสดในฤดูการผลิตนี้สูงที่ 90% และจะทำให้ภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายที่ออกไปสู่สายตาสาธารณชนเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นต้นแบบให้กับอุตสาหกรรมอื่น และพืชเศรษฐกิจอื่นในการลดการเผา เป็นอุตสาหกรรมการเกษตรที่เป็นมิตรกับชุมชนใกล้เคียง
อย่างไรก็ตาม มติ กอน.เห็นชอบกำหนดวันเปิดหีบอ้อยฤดูการผลิตปี 2568/69 ของ 58 โรงงานน้ำตาลทั่วประเทศ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ตามสัดส่วนการรับอ้อยเผาเข้าหีบฤดูการผลิตปี 2567/68 ยึดหลัก “เผาน้อย เปิดก่อน” แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่ม 1 รับอ้อยเผาไม่เกิน 5% จำนวน 9 โรงงาน เปิดหีบวันที่ 1 ธันวาคม 2568 กลุ่ม 2 รับอ้อยเผา 5.01-15% จำนวน 17 โรงงาน เปิดหีบวันที่ 6 ธันวาคม 2568 กลุ่ม 3 รับอ้อยเผา 15.01-25% จำนวน 30 โรงงาน เปิดหีบวันที่ 8 ธันวาคม 2568 และกลุ่ม 4 รับอ้อยเปาเกิน 25.01% จำนวน 2 โรงงาน เปิดหีบวันที่ 11 มกราคม 2569 (2 โรงงาน)
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
2. DITP ปั้นสินค้า GI ทำเงิน สร้างมูลค่าทางศก.กว่า 1.14 แสนล้าน (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 8 ธันวาคม 2568)
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเยี่ยมชมงาน Thailand Rice Fest 2025 และ Thailand Coffee Fest Year End 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-7 ธันวาคม 2568 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี Hall 11-12 โดยในปีนี้กระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมมือกับ TDeD และ Rice Hub ร่วมยกระดับ "ข้าวประณีต" พร้อมจัดพื้นที่ GI Pavilion แสดงศักยภาพสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างโอกาสทางการตลาดใหม่ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการทั่วประเทศอย่างยั่งยืน โดยงานในปีนี้สะท้อนให้เห็นถึง "ความภูมิใจของเกษตรกรตัวจริง" ที่ต้องการผลิตข้าวคุณภาพสูงและมีอัตลักษณ์ โดยแนวคิด "ข้าวประณีต" ไม่ได้มาแทนที่ข้าวในตลาดทั่วไป แต่เป็นตลาด พรีเมียมทางเลือก ที่เปิดโอกาสให้เกษตรกร โดยเฉพาะรายย่อยสามารถแปรรูปและจำหน่ายข้าวพื้นถิ่นที่มีคุณค่าภายใต้มาตรฐานที่ตลาดต้องการกระทรวงพาณิชย์ สนับสนุนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งเครื่องสีข้าว อบข้าว แพ็คข้าวขนาดเล็ก-กลาง รวมถึงการพัฒนามาตรฐานสินค้าและการตลาด ทำให้เกษตรกรสามารถขายข้าวในราคาสูงขึ้นจากเดิม 5-10 เท่า โดยภายในงานได้นำเสนอผลงานของเกษตรกร 20 กลุ่มจากจังหวัดต่างๆ ทั้งชัยนาท นครสวรรค์ สุรินทร์ กาฬสินธุ์ สกลนคร อุดรธานี มหาสารคาม ยโสธร และพังงา แบ่งเป็น Tier 1 และ Tier 2 ตามศักยภาพด้านการผลิตและการตลาด
อย่างไรก็ตาม ในกิจกรรม Business Matching มีผู้ซื้อและผู้ขายได้เจรจาซื้อขายโดยตรงกับเกษตรกร และสามารถปิดดีลสั่งซื้อข้าวได้แล้วเบื้องต้น 450 ตัน มูลค่าประมาณ 16 ล้านบาท ซึ่งความสำเร็จนี้เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายใน กรมทรัพย์สินทางปัญญา เกษตรกร TDeD The Cloud และ Rice Hub ที่ช่วยพัฒนาดาต้าบรรยายคุณลักษณะข้าว ตลอดจนภาคเอกชนที่ร่วมกันยกระดับสินค้าเกษตรไทยอย่างยั่งยืน นอกจากการเปิดตัวข้าวประณีต ภายในงานยังมีบูธ GI Pavilion ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา และบริษัท คลาวด์แอนด์กราวนด์ จำกัด (The Cloud) นำผู้ประกอบการสินค้า GI และว่าที่ GI รวม 12 ราย ร่วมจัดแสดงสินค้า ทั้งข้าวและกาแฟอัตลักษณ์ชุมชน อาทิข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ (ศรีสะเกษ) ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง ข้าวก่ำล้านนา (พะเยา) ข้าวเหนียวเขาวงกาฬสินธุ์ กาแฟดอยตุง เชียงราย / กาแฟเทพเสด็จ เชียงใหม่ / กาแฟวังน้ำเขียว นครราชสีมา รวมถึงสินค้าว่าที่ GI เช่น กาแฟมณีพฤกษ์ (น่าน) ทั้งนี้ สินค้า GI ไทยกว่า 244 รายการ สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแล้วกว่า 114,331 ล้านบาท จากคุณภาพและเรื่องราวอันโดดเด่นตามภูมิศาสตร์และภูมิปัญญาท้องถิ่น ทำให้สินค้า GI เป็น "กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน"
นายธีรทัศน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา
รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม
3. ขับเคลื่อนอุตฯ สู่ยุคดิจิทัลอำนวยความสะดวกผู้ประกอบการ (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 8 ธันวาคม 2568)
นายธีรทัศน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริหารและจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งมี นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุม โดยในการประชุมครั้งนี้ ได้ร่วมกันพิจารณาคำของบประมาณโครงการด้านดิจิทัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้สอดคล้องกับนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรมในการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้กรอบแนวคิด "MIND as One ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้วยดิจิทัล" โดยมีการทำแผนการดำเนินงานต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องแผนพัฒนาดิจิทัลของประเทศไทย ปี พ.ศ. 2566 - 2570 ด้วยงบประมาณรวมทั้งสิ้น 245,862,700 บาท เพื่อปฏิรูปการให้บริการและการกำกับดูแล ภาคอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และขับเคลื่อนด้วยข้อมูลอย่างแท้จริง โดย มุ่งเน้นการบูรณาการการทำงานของทุกกรมเป็นหนึ่งเดียว ผ่านการเนินงาน 3 ด้าน ดังนี้ 1. การยกระดับระบบราชการให้เป็นดิจิทัลเต็มรูปแบบ (Modernization) โดยการพัฒนาระบบบริการของกระทรวงให้เป็นดิจิทัลและเชื่อมโยงกันภายใต้ระบบ i-Industry เพิ่ม ประสิทธิภาพการทำงาน : นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในกระบวนการทำงานและระบบบริการต่างๆ เพิ่มความแม่นยำ ลดขั้นตอนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และยกระดับการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการและประชาชน 2. การขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและการเชื่อมโยงข้อมูลทุกภาคส่วน (Innovation & Integration Networking) สร้างฐานข้อมูลกลางของกระทรวงอุตสาหกรรม (Central Industrial Data Platform) เพื่อทำหน้าที่เป็นฐานข้อมูลหลักที่เชื่อมโยงข้อมูลจากทุกกรม การนำข้อมูลไปใช้ในการวางนโยบาย การกำกับดูแลภาคอุตสาหกรรม และการให้บริการ แก่ผู้ประกอบการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และรองรับการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลอื่นๆ เช่น ระบบวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Analytics) และระบบตรวจจับความผิดปกติ และ 3. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ความปลอดภัย และบุคลากร (Development) เน้นการยกระดับด้าน Cybersecurity ระบบเครือข่ายสื่อสาร และครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ พัฒนาทักษะบุคลากรด้านดิจิทัล ในทุกระดับ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้งานระบบสารสนเทศ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยกำชับให้ทุกโครงการต้องมีความคุ้มค่า โปร่งใส ใช้งานได้จริง และตอบสนองต่อภารกิจหลักของหน่วยงาน
ข่าวต่างประเทศ
4. การค้าเวียดนามขยายตัว ยอดเกินดุลสหรัฐฯ พุ่งสวนภาษีนำเข้า (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 8 ธันวาคม 2568)
สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม เปิดเผยรายงานว่า มูลค่าการค้ารวมของเวียดนามในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 8.3975 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.2% จากปีก่อน โดยตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ยอดส่งออกรวมอยู่ที่ 4.3014 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.1% ขณะที่ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 18.4% สู่ระดับ 4.0961 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งข้อมูลระบุว่า เวียดนามมีดุลการค้าเกินดุลการค้า 2.053 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ เวียดนามมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 1.216 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ โดยการส่งออกยังคงพุ่งขึ้น แม้สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนามตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นมา
อย่างไรก็ตาม เวียดนามยังคงอยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ แต่จนถึงขณะนี้เวียดนามแทบไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการจัดเก็บภาษีนำเข้าระดับ 20% ที่รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์บังคับใช้เพื่อพยายามลดความได้เปรียบด้านการค้าจำนวนมากของเวียดนาม
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)