ข่าวประจำวันที่ 22 ธันวาคม 2568

ข่าวในประเทศ

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

 

1. อัปเกรด FTA ไทย-เปรู ขยายโอกาสการค้าและการลงทุน (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 22 ธันวาคม 2568)

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้รายงานความคืบหน้าของการเจรจายกระดับความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สาธารณรัฐเปรู โดยทั้งสองฝ่ายได้บรรลุการสรุปผลการเจรจาอย่างมีนัยสำคัญในประเด็นหลักของความตกลงแล้ว เหลือเพียงประเด็นทางเทคนิคเล็กน้อยที่อยู่ระหว่างการเร่งหารือเพื่อให้ได้ข้อยุติ ซึ่งจะนำไปสู่การสรุปการเจรจาการยกระดับ FTA ไทย-เปรู ที่ดำเนินการมาอย่างยาวนาน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของทั้งสองประเทศในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าให้ก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งนับเป็นข่าวดีของภาคธุรกิจและประชาชนของทั้งสองประเทศก่อนสิ้นปี 2568 สำหรับการเจรจา FTA ไทย-เปรู เคยชะงักไปยาวนานกว่า 10 ปี ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะกลับมาเร่งรัดการหารือกันอีกครั้งตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา และสามารถเดินหน้าการเจรจาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะจากการที่ตนได้หารือทวิภาคีร่วมกับเอกอัครราชทูตเปรูประจำประเทศไทยเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2568 และยังได้หารือกับรัฐมนตรีด้านการค้าต่างประเทศของเปรูที่เมืองคยองจู เกาหลีใต้ ในช่วงการประชุมเอเปก เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2568 เพื่อผลักดันนโยบายสรุปผล FTA ให้ได้ในปี 2568 ทั้งนี้ ในที่สุดสองฝ่ายสามารถบรรลุการสรุปผลการเจรจาอย่างมีนัยสำคัญได้ตามเป้าหมาย โดยในสาระสำคัญ ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องในองค์ประกอบหลักของความตกลง โดยครอบคลุมการเปิดตลาดเพิ่มเติมและความร่วมมือทางการค้าที่สำคัญ อาทิ การเปิดตลาดสินค้าและบริการ รวมถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เป็นรากฐานของการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน เพื่อให้ความตกลงมีความทันสมัย สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจโลก และเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม เปรูเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอเมริกาใต้ มีจุดเด่นด้านทรัพยากรธรรมชาติ ภาคเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร การทำเหมืองแร่ และเป็นประตูเชื่อมโยงสู่ตลาดในภูมิภาคอเมริกาใต้และชายฝั่งแปซิฟิก การสรุปผลการยกระดับ FTA กับเปรูจะช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาด เพิ่มความหลากหลายของ   ห่วงโซ่อุปทาน และสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับอเมริกาใต้ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ส่วนผู้บริโภคและภาคธุรกิจของทั้งสองประเทศ จะได้รับประโยชน์จากสภาพแวดล้อมทางการค้าที่เอื้อต่อการแข่งขันและการเติบโต โดยขั้นตอนต่อไป ภายหลังจากการสรุปผลอย่างมีนัยสำคัญแล้ว ทั้งสองฝ่ายจะเดินหน้าหารือในประเด็นทางเทคนิคที่คงค้าง และดำเนินการตรวจทานถ้อยคำทางกฎหมายเพื่อให้ความตกลงมีความชัดเจน ถูกต้อง และสอดคล้องกันในทุกภาษา โดยจะดำเนินการตามกระบวนการภายในของแต่ละประเทศต่อไป

 

นายภาสกร ชัยรัตน์

รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

 

2. ไทยดึงญี่ปุ่นร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 22 ธันวาคม 2568)

นายภาสกร ชัยรัตน์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยในงานสัมมนา "Overseas Expansion Symposium" ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ว่า ท่ามกลางความท้าทายโลก อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สังคมสูงวัย การปฏิวัติดิจิทัล และการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก ส่งผลให้ประเทศไทยกำลังเร่งปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมจากการพึ่งพายานยนต์แบบเดิมไปสู่ "อุตสาหกรรมยุคใหม่" (Beyond the Automotive-Dependent Era) ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ รัฐบาลไทยพร้อมเดินหน้าผลักดัน 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1. อุตสาหกรรมชีวภาพและเทคโนโลยีชีวภาพ (Bioeconomy and Biotechnology) 2. อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ (Healthcare and Medical Industry) 3. อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร (Agriculture and Food) 4. อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (Defense Industry) และ 5. อุตสาหกรรมสีเขียวและเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Green Industry/BCG) นอกจากนี้ ประเทศไทยพร้อมเปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือเชิงลึกกับภาคเอกชนของประเทศญี่ปุ่น ทั้งในด้านการลงทุน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนานวัตกรรมร่วมกัน โดยเฉพาะการต่อยอดวัตถุดิบภาคเกษตร เช่น อ้อย มันสำปะหลัง ข้าว และกัญชง สู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง อาทิ ไบโอพลาสติก เชื้อเพลิงชีวภาพ วัสดุคอมโพสิต และเวชภัณฑ์ขั้นสูง โดยอาศัยเทคโนโลยีชั้นสูงและความเชี่ยวชาญของประเทศญี่ปุ่นเป็นแรงเสริมสำคัญ ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพในฐานะประตูสู่ตลาดอาเซียนและตลาดโลก ด้วยทำเลยุทธศาสตร์ใจกลางอาเชียน มีเครือข่ายความตกลงการค้าเสรี (FTA) กว่า 17 ฉบับ ครอบคลุม 24 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ ตลอดจนมีจุดแข็งด้านนโยบายส่งเสริมการลงทุน อาทิ สิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) การอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าและการทำงานสำหรับนักลงทุนต่างชาติ โครงสร้างพื้นฐานที่ครบถ้วน แรงงานทักษะสูง และต้นทุนการผลิตที่สามารถแข่งขันได้

อย่างไรก็ตาม แนวคิด "OTAGAI-Helping Each Other" สะท้อนความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ไทย-ญี่ปุ่น ที่มุ่งสร้างการเติบโตแบบ win-win ผ่านการร่วมลงทุน การจับคู่ธุรกิจ และการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคตร่วมกันพร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่าความร่วมมือดังกล่าว จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างมูลค่าใหม่และการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่ทั้ง 2 ประเทศในระยะยาว สำหรับงานสัมมนา "Overseas Expansion Symposium" ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ครั้งนี้ จัดโดย Tokyo SME Support Center มีจุดประสงค์ที่จะมุ่งขยายฐานผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่มีความสนใจการลงทุนและขยายธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งมีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมญี่ปุ่นเข้าร่วมกว่า 300 ราย ทั้ง  ในรูปแบบออนไซต์และออนไลน์ ทั้งนี้ภายในงานยังมีเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างภาครัฐ นักวิชาการ และภาคเอกชนญี่ปุ่น-ไทย เกี่ยวกับธุรกิจยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยทรัพยากรท้องถิ่นและเทคโนโลยีญี่ปุ่น

 

รูปภาพประกอบด้วย ใบหน้าของมนุษย์, คน, ยิ้ม, เสื้อผ้า

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์

เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)

 

3. BOI โรดโชว์จีนสุดปังดึงกลุ่มไฮเทคลงทุนไทย (ที่มา: ไทยโพสต์, ประจำวันที่ 22 ธันวาคม 2568)

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยผลการจัดโรดโชว์ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 17-18 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา นำโดยนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยการเยือนครั้งนี้ บีโอไอได้จัดงานสัมมนาใหญ่ "Thailand-China Investment Forum 2025" ณ โรงแรมเซี่ยงไฮ้ ผู่ตง เคอร์รี่ นครเซี่ยงไฮ้ เพื่อแสดงศักยภาพและความพร้อมของไทยในการเป็นฐานการลงทุนในภูมิภาค พร้อมนำเสนอนโยบายและมาตรการของรัฐบาลที่สนับสนุนการยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยมีผู้บริหารบริษัทชั้นนำของจีนเข้าร่วมงานกว่า 600 คน ทั้งนี้ ภายในงานสัมมนาได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่อนาคต ผ่านนโยบาย Quick Big Win และการลงทุนในอุตสาห กรรมอนาคต อาทิ ดิจิทัล พลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์ และระบบอัตโนมัติ ควบคู่กับการพัฒนาบุคลากรทักษะสูง โครงสร้างพื้นฐาน และการปฏิรูปกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการลงทุน พร้อมนำเสนอกลไก Thailand FastPass ที่จะช่วยเร่งรัดโครงการลงทุนสำคัญ

อย่างไรก็ตาม บีโอไอได้นำเสนอปัจจัยดึงดูดการลงทุนของไทย และโอกาสการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรม BCG ยานยนต์ไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดิจิทัล และกิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ โดยหลายบริษัทมีแผนตั้งฐานการผลิตใประเทศไทย เนื่องจากไทยมีโอกาสสูงในการสร้างคลัสเตอร์อุตสาหกรรมใหม่ในกลุ่มชิ้นส่วนเทคโนโลยีสูงของหุ่นยนต์ และบางบริษัทจะศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้ามาลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์และบริการคลาวด์ในประเทศไทยด้วย

 

ข่าวต่างประเทศ

 

4. แบงก์ชาติจีนคงดอกเบี้ย LPR ต่อเนื่องเดือนที่ 7 แม้สัญญาณบ่งชี้ศก.ชะลอตัว (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 22 ธันวาคม 2568)

ธนาคารกลางจีน (PBOC) เปิดเผยว่า ได้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปีเอาไว้ที่ระดับ 3% และคงอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีเอาไว้ที่ระดับ 3.5% ในที่ 22 ธันวาคม 2568 นี้ ซึ่งเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 แม้มีข้อมูลบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนซึ่งใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ชะลอตัวลง และภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงอยู่ในภาวะตกต่ำก็ตาม ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 1 ปีเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น ส่วนอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยระยะยาว เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง โดยจีนยังคงเดินหน้าตรึงอัตราดอกเบี้ย LPR ไว้ที่ระดับเดิม แม้มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอเกินคาด ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมประจำเดือนพฤศจิกายน 2568

อย่างไรก็ตาม ทางด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยรายงานเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 ว่า ยอดค้าปลีกปรับตัวขึ้นเพียง 1.3% ในเดือนพฤศจิกายน 2568 เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 2.8% และชะลอตัวลงจากเดือนตุลาคม ที่พุ่งขึ้น 2.9% ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้น 4.8% ในเดือนพฤศจิกายน เมื่อเทียบเป็นรายปี ชะลอตัวลงเล็กน้อยจากเดือนตุลาคมที่เพิ่มขึ้น 4.9% และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 5%

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)