ข่าวประจำวันที่ 23 ธันวาคม 2568

ข่าวในประเทศ

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

 

1. 'พาณิชย์' หารือทูตออสเตรเลีย ดึงลงทุน New S-Curve ในไทย (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวัน 23 ธันวาคม 2568)

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดผลการหารือกับดร.แอนเจลา แม็กดอนัลด์ เอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจำประเทศไทย ว่า ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องถึงความสัมพันธ์ทางการค้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-ออสเตรเลีย ที่ช่วยผลักดันมูลค่าการค้าให้ขยายตัวอย่างโดดเด่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และยังได้แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและโอกาสใหม่ๆ ที่ทั้ง 2 ประเทศจะสามารถเพิ่มความร่วมมือกันได้ ทั้งในมิติการค้าและการลงทุน ทั้งนี้ ถึงแม้ตัวเลขการลงทุนของออสเตรเลียในไทยอาจยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับภาพรวมการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ของไทย แต่เห็นศักยภาพในสาขาที่ออสเตรเลียเข้ามาลงทุน จึงเชิญชวนออสเตรเลียขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายหรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-Curve) ของไทยเพิ่มขึ้น เช่น ดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ อาหารแห่งอนาคต ยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งออสเตรเลียพร้อมที่จะผลักดันประเด็นนี้ร่วมกัน ในขณะเดียวกันได้แสดงความยินดีที่ไทยและบมจ.อัครา รีซอร์สเซส ของออสเตรเลีย สามารถยุติกรณีพิพาทได้ ซึ่งนับเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อบรรยากาศการลงทุน และยังเป็นการรักษาความสัมพันธ์ด้านการลงทุนระหว่างไทยและออสเตรเลียในระยะยาว โดยออสเตรเลียได้แสดงเจตจำนงค์ที่จะขยายการลงทุนในด้านนี้เพิ่มเติม และขอรับการสนับสนุนจากไทย และออสเตรเลียได้ติดตามความคืบหน้าสถานการณ์การนำเข้านมผงขาดมันเนยภายใต้ FTA ซึ่งกระทรวงฯจะติดตามความคืบหน้าต่อไป

อย่างไรก็ตาม เป็นโอกาสสำคัญที่ไทยได้แสดงความพร้อมที่จะสานต่อความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนกับออสเตรเลียในทุกระดับ พร้อมเดินหน้าสร้างโอกาสใหม่ๆให้เศรษฐกิจ 2 ประเทศเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ส่วนออสเตรเลียชื่นชมการดำเนินงานของไทยในการสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) และพร้อมสนับสนุนไทย โดยเห็นว่าเป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยยกระดับมาตรฐานการค้าของไทยให้เทียบเท่าระดับสากล

 

รูปภาพประกอบด้วย ใบหน้าของมนุษย์, คน, ยิ้ม, เสื้อผ้า

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์

เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

 

2. บีโอไอผนึก China EV100 ผลักดันไทยขึ้นสู่ซัพพลายเชน EV โลก (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 23 ธันวาคม 2568)

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2568 บีโอไอ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับ นายจาง หยงเหว่ย รองประธานและเลขาธิการ สถาบันพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์พลังงานใหม่ (China EV100) ซึ่งเป็นคลังสมอง (Think Tank) และเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดทิศทางนโยบายอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลจีน นับเป็น MOU ฉบับแรกที่ China EV100 ลงนามกับประเทศในอาเซียน มี 8 องค์กรพันธมิตร ได้แก่ กรมสรรพสามิต สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน สถาบันยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย มาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามและหารือความร่วมมือกับ China EV100 ในครั้งนี้ด้วย โดยการลงนาม MOU นี้ เพื่อสร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในการพัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในไทย ควบคู่กับการยกระดับขีดความสามารถและเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ซัพพลายเชน EV ระดับโลก โดยจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้และแนวทางการจัดทำนโยบายเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม EV ให้เติบโตอย่างยั่งยืน เสริมสร้างการแข่งขันที่สมดุลและเป็นธรรม พัฒนาบุคลากรและระบบนิเวศทั้งด้านการผลิต การจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้วการพัฒนาระบบอัดประจุไฟฟ้าและระบบสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ การยกระดับผู้ประกอบการไทยผ่านความร่วมมือในการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้ประกอบการจีน การสร้างกลไกสนับสนุนการร่วมลงทุนระหว่างจีน-ไทย จัดกิจกรรมและเวทีความร่วมมือทั้งในไทยและจีน โดยความร่วมมือระหว่างพันธมิตรฝ่ายไทยกับ China EV100 จะช่วยให้ไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก ทั้งด้านนโยบายและวิธีการพัฒนาอุตสาหกรรม EV ของจีน อีกทั้งจะเป็นสะพานเชื่อมผู้ประกอบการของทั้ง 2 ประเทศ ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน และเป็นช่องทางสะท้อนความคิดเห็นจากภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้การจัดทำนโยบายและมาตรการต่างๆที่เกี่ยวกับ EV มีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายจาง หยงเหว่ย รองประธานและเลขาธิการ China EV100 กล่าวว่า การร่วมมือในครั้งนี้มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรม EV ของทั้งจีนและไทย โดย China EV100 พร้อมสนับสนุนวิสัยทัศน์ของไทยในการเป็นศูนย์กลาง EV ในอาเซียน และยินดีที่จะส่งเสริมผู้ประกอบการจีนให้เพิ่มการใช้ชิ้นส่วนในไทย รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการไทย ซึ่งเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และจีน ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง จึงไม่กลัวเรื่องการถูกลอกเลียนแบบเหมือนกิจการอื่นๆ อีกทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกิดการผลิตที่ไทย จะช่วยลดความเสี่ยงจากการออกไปลงทุนในต่างประเทศด้วยตัวเอง และยังสามารถเพิ่มความเร็วในการผลิตออกสู่ตลาดด้วย จึงมีโอกาสสูงที่จะเพิ่มความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการของทั้ง 2 ประเทศให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคต จะมุ่งเน้นการพัฒนาระบบอัจฉริยะของรถยนต์มากขึ้น ก็จะเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ สามารถเข้ามามีบทบาทพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้อีกด้วย

 

รูปภาพประกอบด้วย คน, ใบหน้าของมนุษย์, ยิ้ม, เสื้อผ้า

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์

โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

 

3. ส่อฉุดยอดผลิตปีนี้พลาดเป้า (ที่มา: ไทยรัฐ, ประจำวันที่ 23 ธันวาคม 2568)

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดผลิตรถยนต์ 11 เดือน (มกราคม - พฤศจิกายน) ปีนี้ อยู่ที่ 1,341,714 คัน ลดลง 1.64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดผลิตเพื่อส่งออก 862,886 คัน ลดลง 8.39% ตามการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป ที่เหลือ 850,787 คัน หรือลดลง 9.77% ขณะที่ยอดผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 478,828 คัน เพิ่มขึ้น 13.42% จากยอดขายในประเทศ 546,045 คัน เพิ่มขึ้น 5.28% ซึ่งต้องรอดูความชัดเจนว่า ภายหลังการเลือกตั้ง จะจัดตั้งรัฐบาลได้เมื่อไร เพราะจะมีผลต่อการพิจารณางบประมาณรายจ่ายปี 70 และจะทันใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2569 หรือไม่ มาตรการเศรษฐกิจจะกระตุ้นอย่างไร คาดว่าทุกอย่างจะมีความชัดเจนช่วงกลางปีหน้า ทั้งนี้ การส่งออกของไทยยังไม่แน่นอน ต้องรอดูภาษีสหรัฐฯ ว่าสุดท้ายแล้ว การใช้อำนาจของประธานาธิบดีในการขึ้นภาษีจะเกินขอบเขตของกฎหมายหรือไม่ คาดว่าจะชัดเจนในไตรมาส 1 หรือ 2 ปีหน้า ทำให้กังวลว่ายอดผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกปีนี้อาจไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ที่ 950,000 คัน ส่งผลต่อยอดผลิตรถยนต์ตลอดทั้งปีนี้ ตั้งไว้ที่ 1.45 ล้านคัน ขณะที่ยอดผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศตั้งเป้าไว้ที่ 500,000 คัน สำหรับปี 69 ตั้งเป้าหมายยอดผลิตรถยนต์อยู่ที่ 1.45 ล้านคัน แบ่งเป็นยอดผลิตเพื่อส่งออกรถยนต์อยู่ที่ 950,000 คัน เท่ากับปี 2568 ต้องรอประเมินความชัดเจนของมาตรการภาษีสหรัฐฯ และการเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2569

อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกัน ยอดผลิตรถยนต์เดือนพฤศจิกายน 2568 มีทั้งสิ้น 130,222 คัน เพิ่มขึ้น 11.06% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยอดการผลิตเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้นถึง 57.49% มาอยู่ที่ 58,633 คัน เนื่องจากต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ชดเชย 1.5 เท่าของยอดรถไฟฟ้านำเข้ามาจำหน่ายในปี 2565-2566 ที่ยังผลิตไม่ครบในปี 2567 ส่งผลให้ยอดผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) เพิ่มขึ้นถึง 1,974.14% อยู่ที่ 9,624 คัน นอกจากนี้ยอดผลิตรถกระบะเพิ่มขึ้น 7.34% อยู่ที่ 76,022 คัน จากการผลิตรถกระบะเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้น 44.31% อยู่ที่ 21,251 คัน ส่งผลให้ภาพรวมยอดผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเดือน พ.ย.2568 ผลิตได้ 58,633 คัน เพิ่มขึ้น 57.49% โดนตัวเลขดังกล่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกับยอดขายรถยนต์ในประเทศของเดือนพฤศจิกายน ที่อยู่ที่ 51,044 คัน เพิ่มขึ้น 20.65% จากรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่ขายได้เพิ่มขึ้น เพราะราคาจับต้องได้มากขึ้น และรถกระบะดัดแปลง PPV ที่บางบริษัทเพิ่งขายในปีนี้ อีกทั้งหลักฐานการเงินของผู้ซื้อรถกระบะแข็งแรงขึ้น ช่วยให้ยอดขายรถกระบะไม่ลดลงเป็นเดือนแรก

 

ข่าวต่างประเทศ

รูปภาพประกอบด้วย ขาว, เครื่องหมาย, ธง

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

 

4. เกาหลีใต้ส่งออกรถยนต์เดือนพ.ย.ฟื้นตัว 13.7% หลังร่วงหนักเดือนต.ค. (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 23 ธันวาคม 2568)

กระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และทรัพยากรของเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า มูลค่าการส่งออกรถยนต์เดือนพฤศจิกายน 2568 อยู่ที่ 6.41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวขึ้น 13.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังจากที่ร่วงลงในอัตราเลขสองหลักในเดือนตุลาคม โดยมูลค่าการส่งออกรถยนต์เดือนพฤศจิกายน ฟื้นตัวขึ้นจากความต้องการรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยยอดส่งออกรถยนต์ประเภทดังกล่าวพุ่งขึ้น 26.3% แตะที่ 2.32 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ยอดส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์เพิ่มขึ้น 11.2% แตะที่ 1.57 พันล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ เมื่อแยกเป็นรายตลาดพบว่า ยอดส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5.1% แตะที่ 2.70 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ยอดส่งออกไปยังภูมิภาคเอเชียและลาตินอเมริกา เพิ่มขึ้นในอัตราเลขสองหลัก แตะที่ระดับ 728 ล้านดอลลาร์ และ 299 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ โดยในแง่ของปริมาณการส่งออก ข้อมูลระบุว่า เกาหลีใต้ส่งออกรถยนต์รวมเป็นจำนวน 236,653 คัน ในเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 5.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ตาม ในส่วนยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศ เพิ่มขึ้น 2.9% แตะที่ 354,243 คัน ในเดือนพฤศจิกายน ขณะที่ยอดขายรถยนต์ในเกาหลีใต้ ซึ่งรวมทั้งรถยนต์ที่ผลิตเองภายในประเทศและรถยนต์นำเข้า อยู่ที่ 146,241 คัน ในเดือนพฤศจิกายน ลดลง 1.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)