ข่าวประจำวันที่ 24 ธันวาคม 2568

ข่าวในประเทศ

รูปภาพประกอบด้วย ใบหน้าของมนุษย์, คน, ในร่ม, ผู้ประกอบการ

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล

ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

 

1. กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมร่วง กระทบโบนัส-เงินเดือน-การจ้างงาน (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 24 ธันวาคม 2568)

 

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงอย่างต่อเนื่องซึ่งจากเดิมที่มาตรฐานของกำลังการผลิตจะอยู่ที่ประมาณ 70-80% แต่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 60% โดยภาคการผลิตจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม หรือ Manufacturing Production Index (MPI) ขณะนี้ยังไม่ดีขึ้นแม้จะมีการส่งออกที่เพิ่มขึ้นแต่การส่งออกจำนวนมากนั้นมาจากไหนซึ่งเมื่อเจาะลึกลงไปพบว่าตรงกับปัญหาเรื่องของการสวมสิทธิ์ (Transshipment) นอกจากนี้ อุตสาหกรรมภายในประเทศยังได้รับผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าราคาถูกจำนวนมากจากต่างประเทศเข้ามาทั้งสินค้าที่มีคุณภาพและไม่มีคุณภาพซึ่งยังอยู่ในอัตราสูงโดยยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้นยกตัวอย่างตั้งแต่ช่วงต้นปีอัตราการส่งออกเพิ่มขึ้น เฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกาของไทยโตขึ้น 26-28% แต่ตัวเลข MPI ไม่ขยับ เมื่อไปดูในรายละเอียดปรากฏว่า มีการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นกว่า 30% ซึ่งสินค้าเหล่านี้นอกจากนำเข้ามาเพื่อส่งออกแล้วอีกส่วนหนึ่งที่เข้ามาทั้งที่ถูกกฎหมายและไม่ได้ถูกบันทึกไว้ก็ได้เข้ามาตีตลาดเอสเอ็มอี (SMEs) หรือผู้ผลิตในประเทศที่เป็นโรงงานผลิตสินค้าต่างๆจนทำให้เอสเอ็มอีไทยต้องปิดตัวไปเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้กำลังการผลิตที่ลดลงยังมีส่วนเชื่อมโยงกับการจ่ายเงินเดือนภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง ซึ่งโรงงานส่วนใหญ่ที่จ่ายโบนัสจำนวนมากที่ปรากฏเป็นข่าวจะเป็นบริษัทต่างชาติที่มาตั้งฐานในประเทศไทย และเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังมีกำไรอยู่บางกลุ่มแต่โดยเฉลี่ยทั่วไปจากผลกระทบดังกล่าวเหล่านี้ส่งผลทำให้การจ่ายเงินเดือนการขึ้นเงินเดือนการจ้างงานการให้โบนัสลดลงอย่างชัดเจน ทั้งนี้ สังเกตได้เลยว่าที่มีการจ่ายโบนัสจำนวนมากและค่อนข้างสูงมีอยู่เพียงไม่กี่บริษัท และส่วนใหญ่ก็เป็นบริษัทที่มาตั้งฐานผลิตในไทยและเป็นสินค้าที่ยังเป็นที่ต้องการเช่นกลุ่มไฮเทค หรือกึ่งไฮเทค แต่หากเป็นสินค้า หรืออุตสาหกรรมทั่วไปจะสังเกตเห็นว่ากำลังการผลิตหดตัวทำให้ผลประกอบการไม่ดี กำไรไม่มี และทำให้บางบริษัทขาดทุน ซึ่งส่งผลต่อการขึ้นเงินเดือน และการให้โบนัส และการจ้างงาน บางโรงงานถึงขั้นต้องลดกะทำงาน ลดการจ้างงาน ซึ่งน่าจะมีมาก เพราะทุกอย่างยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง

 

รูปภาพประกอบด้วย คน, เสื้อผ้า, ใบหน้าของมนุษย์, สวมใส่อย่างเป็นทางการ

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

นายพรวิช ศิลาอ่อน

รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์

 

2. DITP นำผู้แทนการค้า บุกขายของเมืองเฉิงตู ฉงชิ่ง (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 24 ธันวาคม 2568)

นายพรวิช ศิลาอ่อน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการนำคณะผู้แทนการค้าสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าสัตว์เลี้ยง เดินทางเยือนจีนตะวันตก (เฉิงตู ฉงชิ่ง) รวม 30 บริษัท เพื่อเจรจาการค้ากับผู้ซื้อ ผู้นำเข้า เมื่อวันที่ 17-18 ธันวาคม 2568 ว่า การจัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ในครั้งนี้ มีผู้นำเข้าของจีนเข้าร่วมเจรจาการค้ารวม 107 บริษัท แบ่งเป็นผู้นำเข้าจากเฉงตู 56 บริษัท และจากฉงชิ่ง 51 บริษัท เกิดการเจรจาการค้า 360 คู่ สร้างผลการเจรจาการค้าทันทีและคาดการณ์ภายใน 1 ปี รวม 102 ล้านบาท โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมและสามารถตกลงจับคู่ทำธุรกิจ ได้แก่ ขนมขบเคี้ยว แชมพูสัตว์เลี้ยง ผลไม้อบแห้ง ผลไม้แช่เข็ง เครื่องปรุงรส และน้ำผลไม้ เป็นต้น ทั้งนี้ ในการนำคณะผู้แทนการค้าเดินทางไปเยือนเฉิงตู และฉงชิ่งในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากนาย Ren Rongjian เลขาธิการของคณะกรรมการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำมณฑลเสฉวน (CCPIT SICHUAN) และผู้แทนจากกระทรวงพาณิชย์จีน นครฉงชิ่ง (DOFCOM) ให้เกียรติบรรยายให้ความรู้เรื่องโอกาสสินค้าไทยในตลาดเสฉวน และฉงชิ่ง แก่ผู้ประกอบการไทยที่เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทย มีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถเจาะตลาดได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม สำหรับเมืองเฉิงตู และฉงชิ่ง เป็นเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของจีนฝั่งตะวันตก เป็นศูนย์กลางด้านการค้า เทคโนโลยี และนวัตกรรมของภูมิภาค มีความเชื่อมโยงทางโลจิสติกส์ที่สำคัญ และเป็นจุดหมายที่บริษัทต่างชาติต่างให้ความสนใจในการขยายตลาดไปยังจีนฝั่งตะวันตก โดยการจัดกิจกรรม Business Matching ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ Go West Strategy ของรัฐบาลจีน ซึ่งสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาคและการเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภคในเมืองรอง

 

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

 

3. ครม.ถอนกม.เพิ่มขีดแข่งขัน (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 24 ธันวาคม 2568)

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบให้ถอนร่าง พ.ร.บ.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นไปตามการเสนอของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เพื่อให้นำกลับมาทบทวนความเหมาะสมให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลปัจจุบันและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ ยังทำให้การดำเนินการเกี่ยวกับการบรรเทาผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่มเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศไทยยังมีความสามารถในการแข่งขันเพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และให้บีโอไอพิจารณาร่างพ.ร.บ.ฯ นี้ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายโดยเร็วต่อไป โดยสาระสำคัญของ พ.ร.บ.ฯ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติม โดยกำหนดให้คณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีอำนาจให้สิทธิและประโยชน์ในรูปแบบเครดิตภาษี และกำหนดกลไกในการคืนเครดิตภาษีที่เหลืออยู่ในรูปแบบเงินสดภายในเวลาที่กำหนด นับจากวันที่กำหนด รวมถึงขอรับจัดสรรงบประมาณที่จำเป็นและเพียงพอสำหรับการจ่ายคืนเครดิตภาษีที่เหลืออยู่

อย่างไรก็ตาม ทางด้าน น.ส.ลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ครม. เห็นชอบการทบทวนมติ ครม. วันที่ 8 เมษายน 2568 กรณีการขยายเวลาการผลิตชดเชยตามมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า หรือ อีวี 3 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน และเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเป็นการเปิดทางให้ผู้ผลิตรถยนต์อีวีที่ต้องผลิตชดเชย หากไม่สามารถผลิตชดเชยได้ทัน จะได้เข้าร่วมมาตรการอีวี 3.5 ได้ และให้กรมสรรพสามิตออกกฎระเบียบได้โดยตรง เพื่อมีความคล่องตัวในการดำเนินการมากขึ้นให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว

 

ข่าวต่างประเทศ

 

4. สหรัฐเผย GDP ขยายตัว 4.3% ใน Q3/68 สูงกว่าคาดการณ์ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 24 ธันวาคม 2568)

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3/2568 ในวันนี้ โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 4.3% ในไตรมาสดังกล่าว สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 3.2% โดยได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ ผู้บริโภคมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 3.5% ในไตรมาส 3 หลังจากเพิ่มขึ้น 2.5% ในไตรมาส 2 นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของการส่งออกและการใช้จ่ายในภาครัฐก็ได้เป็นปัจจัยหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนในสินทรัพย์ถาวรที่ลดลงน้อยกว่าคาดก็เป็นปัจจัยบวกเช่นกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ สหรัฐมีกำหนดเผยแพร่ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับ GDP ประจำไตรมาส 3/2568 ในวันที่ 30 ตุลาคม แต่ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากการปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือชัตดาวน์ นอกจากนี้ ตัวเลข GDP ประจำไตรมาส 3/2568 ที่มีการเผยแพร่ในวันนี้ ถือเป็นตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ซึ่งเดิมมีกำหนดเผยแพร่ในวันที่ 26 พฤศจิกายน

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 0.5% ในไตรมาส 1 ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 3 ปี ก่อนที่จะมีการขยายตัว 3.8% ในไตรมาส 2 ซึ่งการหดตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 1 มีสาเหตุจากการนำเข้าที่พุ่งขึ้น เนื่องจากภาคธุรกิจต่างรีบนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ก่อนที่มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะมีผลบังคับใช้ ทั้งนี้ การนำเข้าลดลง 29.8% ในไตรมาส 2 และเป็นปัจจัยหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสดังกล่าว 

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)