ข่าวในประเทศ
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ
ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
1. กนอ.วาง 2 กลยุทธ์ ปี 69 เล็งผุดนิคมราคาต่ำดึงดูด SME (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 25 ธันวาคม 2568)
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยถึงภาพรวมสถานการณ์การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม ว่า ในปีงบประมาณ 2568 ที่ผ่านมาว่า มียอดขายและเช่าพื้นที่ประมาณ 8,000 ไร่ เป็นกลุ่มนักลงทุนใหม่ที่ย้ายมาจากจีนและไต้หวันเข้ามาลงทุนในไทย โดยในปี 2569 ทาง กนอ.ได้ตั้งเป้ายอดขายและเช่าพื้นที่ 12,000 ไร่ ซึ่งยังเชื่อว่าประเทศไทยยังคงมีศักยภาพรอบด้านเหมาะแก่การลงทุน ซึ่งขณะนี้นักลงทุนอาจจะอยู่ในช่วงศึกษาภาพรวมการลงทุนและรอการมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ โดยในปีงบประมาณ 2568 กลุ่มอุตสาหกรรมที่เข้ามาลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ยานพาหนะและอุปกรณ์ (13.48%), ผลิตภัณฑ์โลหะ (10.45%), เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ (9.68%), เคมีภัณฑ์ (7.82%) และผลิตภัณฑ์พลาสติก (6.55%) โดยนักลงทุนจากญี่ปุ่น (23.41%) ยังคงครองแชมป์การลงทุนสูงสุด ตามมาด้วย จีน (16.76%) สิงคโปร์ (9.93%) และสหรัฐอเมริกา (5.79%) ส่งผลให้ปัจจุบัน กนอ. มีเม็ดเงินลงทุนสะสมรวมกว่า 15.32 ล้านล้านบาท และมีการจ้างงานในระบบกว่า 1 ล้านคน สำหรับปี 2569 กนอ.ได้กำหนดยุทธศาสตร์โดยมุ่งสู่การเป็น "Green & Digital Innovation" ซึ่งทิศทางการดำเนินงานจะปรับบทบาทจากผู้พัฒนาที่ดินสู่การเป็น"ผู้สร้างสรรค์ระบบนิเวศอุตสาหกรรมและ นักลงทุนเชิงกลยุทธ์" (Strategic Investor) โดยมุ่งเน้น 2 แกนหลัก เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ 1. การมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon City) ตั้งเป้าความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และ 2.พลิกโฉมสู่องค์กรดิจิทัล (Digital Transformation) โดยการพัฒนาระบบการเงินแบบ Cashless เต็มรูปแบบ เพื่อรองรับการชำระเงินดิจิทัลทุกช่องทาง ส่วนความก้าวหน้าของการดำเนินงาน ตามนโยบายสำคัญ ในปีงบประมาณที่ผ่ามา กนอ. ได้เร่งขับเคลื่อนโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานหลักเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ กนอ. ยังคงแผนการทำนิคมอุตสาหกรรมที่ราคาไม่แพง หรือ นิคมฯ เอสเอ็มอี เพื่อดึง เอสเอ็มอีเข้ามาอยู่ในนิคมฯเดียวกัน โดยเสนอราคาที่เหมาะสมประมาณราคาไร่ละ 3-4 ล้านบาท จากปัจจุบันค่าเช่าอยู่ที่ไร่ละ 8-12 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือและ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับเอสเอ็มอี ซึ่งขณะนี้คงต้องดูรัฐบาลใหม่ว่านโยบายจะเป็นอย่างไร แต่ทาง กนอ. ได้ทำแผนล่วงหน้าไว้เพื่อเสนอรัฐบาลในอนาคตในการดำเนินการนโยบายดังกล่าวไว้แล้ว
นางสุภาพร สุขมาก
รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์
2. DITP ดันสินค้าไทย ทำตลาดออนไลน์จีน (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 25 ธันวาคม 2568)
นางสุภาพร สุขมาก รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า DITP โดยสำนักตลาดพาณิชย์ดิจิทัลและสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเซี่ยงไฮ้ ได้จัดกิจกรรม "Openhouse & Sourcing Forum" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Live Commerce ผ่าน Influencer เพื่อส่งเสริมการขายสินค้าไทยในสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยได้เชิญ Tmall มาให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับแพลตฟอร์ม และเชิญนายสกรรจ์ แสนโสภา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเซี่ยงไฮ้ และนายวุฒิศักดิ์ กาญจนาภรณ์ ผู้อำนวยการสำนักตลาดพาณิชย์ดิจิทัล มาให้ความรู้เกี่ยวกับการค้า เทรนด์ตลาด ช่องทางการตลาดออนไลน์ในจีน และข้อมูลร้าน TOPTHAI ที่เปิดในแพลตฟอร์ม Tmall ทั้งนี้ ในการจัดงานดังกล่าว นอกจากให้ความรู้เกี่ยวกับแพลตฟอร์ม Tmall การเปิดร้าน TOPTHAI การทำตลาดออนไลน์ในจีนแล้ว ยังได้จัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจ มีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 30 คู่ โดยมั่นใจว่าจะช่วยยกระดับสินค้าไทย สร้างความมั่นใจต่อยอดสินค้าไทยที่มีตราสัญลักษณ์ Thai SELECT, TTM (Thailand Trust Mart) และ PM Awards ให้มีโอกาสในตลาดออนไลน์จีนได้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน DITP มีแผนที่จะผลักดันแบรนด์สินค้าไทยที่มีคุณภาพ ให้สามารถขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์สู่ตลาดจีน โดยใช้กลไกการ Live Commerce ร่วมกับ KOL ในตลาดจีน ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าถึงผู้บริโภค และกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคจีน ในช่วงวันที่ 15-25 มกราคม 2569 ควบคู่กับการรักษากระแสการยอมรับสินค้าไทย และการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่สินค้าไทยในตลาดจีน ซึ่งจะช่วยการกระตุ้นการส่งออก และการสร้างรายได้เข้าประเทศ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมีความร่วมมือกับพันธมิตรอีคอมเมิร์ซบนแพลตฟอร์มชั้นนำ ใน 9 ตลาดทั่วโลก อาทิ Tmall, Bigbasket, Klangthai, Shopee, Rakuten, LetsTango และ Amazon เพื่อเปิดตลาดต่างประเทศให้กับผู้ประกอบการ SME ไทย ภายใต้โครงการ TOPTHAI หรือร้านค้าปลีกออนไลน์ ซึ่งนับเป็นก้าวใหม่ที่ช่วยลดอุปสรรคการส่งออก และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงผู้บริโภคในตลาดโลก และโครงการดังกล่าวเข้าสู่ปีที่ 5 มีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมกว่า 2,400 แบรนด์ สร้างมูลค่ารวมกว่า 800 ล้านบาท
นายธนากร เกษตรสุวรรณ
ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.)
3. สรท.ชี้ภาคส่งออก กังวลบาทแข็งค่าเร็วและผันผวน กระทบความสามารถแข่งขัน ธุรกิจปรับตัวไม่ทัน (ที่มา: มติชนออนไลน์, ประจำวันที่ 25 ธันวาคม 2568)
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า สรท.มีความกังวลต่อภาคการส่งออก ซึ่งผลจากสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วและผันผวนนั้น กำลังส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในบริบทที่ประเทศคู่แข่งในภูมิภาค ยังสามารถบริหารจัดการค่าเงินให้อยู่ในระดับที่เอื้อต่อการส่งออกมากกว่า ทั้งนี้ ภาคส่งออกมิได้กังวลเพียงระดับของค่าเงินบาทเท่านั้น แต่กังวลอย่างยิ่งต่อความเร็วและความผันผวนของการแข็งค่า ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถปรับตัวหรือบริหารความเสี่ยงได้ทัน โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และธุรกิจที่มีคำสั่งซื้อระยะยาว ซึ่งไม่สามารถปรับราคาได้ทันตามความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ได้แก่ 1. ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นทันที เมื่อแปลงรายได้เป็นเงินบาท 2. มาร์จิน (Margin) ลดลงอย่างรวดเร็ว และบางกรณีเริ่มเข้าสู่ภาวะขาดทุน 3. ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาลดลง เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และ 4. ความเสี่ยงต่อการสูญเสียคำสั่งซื้อและการย้ายฐานการผลิตในระยะยาว โดยแนวทางการปรับตัวของภาคส่งออก ภายใต้ข้อจำกัดปัจจุบันนั้น ภาคส่งออกไทยตระหนักถึงความจำเป็นในการปรับตัว และได้เริ่มดำเนินการในหลายมิติ แม้จะมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและโครงสร้าง ได้แก่ 1. การบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรอบคอบมากขึ้น ผู้ประกอบการพยายามใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (Hedging) มากขึ้น 2. การปรับโครงสร้างต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ภาคธุรกิจเร่งควบคุมต้นทุน ปรับปรุงกระบวนการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์ 3. การขยับจากการแข่งขันด้านราคาไปสู่มูลค่าเพิ่ม ผู้ส่งออกบางส่วนพยายามพัฒนาสินค้า มาตรฐาน และบริการ เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาเพียงอย่างเดียว และ 4. การกระจายตลาดและลดการพึ่งพาสกุลเงินเดียว มีความพยายามขยายตลาดใหม่ และใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าขายมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อเรียกร้องเชิงนโยบายจากภาคส่งออกนั้น สรท. ขอเน้นย้ำว่า ภาคส่งออก ไม่ได้เรียกร้องให้รัฐบิดเบือนกลไกตลาด แต่ขอให้มีการบริหารจัดการเชิงนโยบายเพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วและผันผวนเกินกว่าศักยภาพของภาคเศรษฐกิจจริง โดยเฉพาะภาคการผลิตและการส่งออกซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ แต่การดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาท การลดความผันผวน และการประสานนโยบายเศรษฐกิจอย่างบูรณาการ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยให้ภาคส่งออกสามารถประคองตัวในระยะสั้น และรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
ข่าวต่างประเทศ
4. กัมพูชากวาดยอดส่งออกไปอาเซียน-EU ช่วง 11 เดือน ปี 68 แตะ 9.71 พันล้านดอลล์ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 25 ธันวาคม 2568)
กระทรวงพาณิชย์กัมพูชา เปิดเผยรายงานว่า ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 กัมพูชามีรายได้จากการส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนและสหภาพยุโรป (EU) รวม 9.71 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกัมพูชาส่งออกสินค้าไปตลาดอาเซียนมูลค่า 5.13 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ยอดส่งออกไปยังตลาด EU อยู่ที่ 4.58 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13.6% ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ ตลาดอาเซียนมีสัดส่วนเป็น 18.1% และตลาด EU 16.1% ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมดของกัมพูชาซึ่งอยู่ที่ 2.83 หมื่นล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ทางด้านแปน โสวิเชียต รัฐเลขานุการและโฆษกกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา เปิดเผยว่า สินค้าหลักที่กัมพูชาส่งออกไปยังอาเซียนและ EU ได้แก่ เสื้อผ้า สิ่งทอ รองเท้า เครื่องใช้สำหรับเดินทาง กระเป๋า จักรยาน ยางรถยนต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางประเภท รวมถึงผลผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าว เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ มันสำปะหลัง และน้ำยางพารา
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)