ข่าวประจำวันที่ 26 ธันวาคม 2568

ข่าวในประเทศ

นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ

อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)

 

1. DITP ชี้เป้าเจาะตลาดจีน เทรนด์อาหาร-เครื่องดื่มน้ำตาลต่ำมาแรง (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 26 ธันวาคม 2568)

 

นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าได้รับรายงานจากนางสาวบูชิตา อินทรทัศน์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ เมืองชิงต่าว สาธารณรัฐประชาชนจีน ถึงแนวโน้มการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มน้ำตาลต่ำที่กำลังเป็นเทรนด์ที่มาแรงในตลาดจีนและโอกาสในการส่งออกสินค้าอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพของไทยเข้าไปจำหน่าย ซึ่งเทรนด์อาหารอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำหรือ Low GI (Low Glycemic Index) กำลังร้อนแรงในวงการอาหารของจีน และกลายเป็นสนามแข่งขันใหม่ของแบรนด์อาหารสุขภาพ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มซึ่งกระแสนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ชาและเครื่องดื่มต่างๆ เท่านั้น แต่กำลังขยายตัวไปทั่วทั้งวงการอาหารตั้งแต่อาหารหลัก ขนมขบเคี้ยว ผลิตภัณฑ์นม ไปจนถึงอาหารทดแทนและอาหารฟังก์ชัน (Functional Food) ซึ่งต่างเร่งพัฒนาเมนูอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ทั้งนี้ จากเทรนด์ดังกล่าวทำให้ภาคธุรกิจตอบรับอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นการใช้วัตถุดิบทดแทนจากข้าวและธัญพืช สู่การพัฒนาข้าวฟังก์ชัน และธัญพืช Low GI อาทิ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต ถั่วลันเตา หรือถั่วชิกพี การเลือกใช้สารให้ความหวานธรรมชาติอาทิ อิริทริทอล, D-Allulose, ไซลิทอล ที่ให้รสหวาน แต่ไม่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด และยังมีการเพิ่มส่วนผสมเสริมการทำงานของร่างกาย อาทิ ใยอาหารจากอินูลินและรีซิสแทนต์เดกซ์ตริน ที่ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล รวมถึงสารสกัดจากใบหม่อนและถั่วขาวที่ช่วยยับยั้งเอนไซม์ย่อยน้ำตาล โดยความนิยมที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำขยายตัวอย่างรวดเร็วไปสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น เช่น อาหารหลัก ขนมขบเคี้ยว อาหารทดแทน และเครื่องดื่ม ปัจจุบันในจีนมีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรอง Low GI แล้วกว่า 200 รายการ

อย่างไรก็ตาม กรมเห็นว่า เมื่อแนวคิดรับประทานเพื่อสุขภาพ กลายเป็นวิถีชีวิตหลักของผู้บริโภคจีนยุคใหม่ จึงคาดการณ์ว่าอาหาร Low GI จะมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วในตลาดจีนจึงเป็นโอกาสของผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทย ซึ่งมีศักยภาพสูงในการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม GI ต่ำ เพราะมีวัตถุดิบพื้นถิ่นหลากหลายที่สามารถนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพได้อย่างดีอาทิ ข้าวน้ำตาลต่ำ น้ำมะพร้าวธรรมชาติ หญ้าหวาน ธัญพืช ลูกเดือย ถั่วเหลือง งาดำ เป็นต้น โดยสามารถเกาะกระแสสุขภาพที่ยังคงร้อนแรง และผลักดันสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดจีน

 

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์

ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

2. ส่งออก 11 เดือน โตทะลัก 12.6% พาณิชย์คาดปีหน้าไม่สดใสมีสิทธิ์ติดลบ 3.3% (ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์, ประจำวันที่ 26 ธันวาคม 2568)

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยถึงการค้าระหว่างประเทศของไทยว่า เดือนพฤศจิกายน 2568 การส่งออก มีมูลค่า 27,445.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 890,204 ล้านบาท ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 ที่ 7.1% เทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2567 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัยออก ขยายตัวได้สูงถึง 11.8% ส่วนนำเข้า 30,172.5 ล้านเหรียญฯ หรือ 991,244 ล้านบาท ขยายตัว 17.6% และขาดดุลการค้า 2,726.9 ล้านเหรียญฯ หรือ 101,040 ล้านบาท ขณะที่ช่วง 11 เดือน (มกราคม - พฤศจิกายน) ปี 2568 การส่งออกมีมูลค่า 310,706.6 ล้านเหรียญฯ หรือ 10.207 ล้านล้านบาท ขยายตัว 12.6% เทียบช่วงเดียวกันของปี 67 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์แล้ว ถ้าหักทองคำ น้ำมัน ยุทธปัจจัยออก ขยายตัวได้ถึง 13.7% การนำเข้า 315,662.5 ล้านเหรียญฯ หรือ 10.493 ล้านล้านบาท ขยายตัว 12.4% ขาดดุลการค้า 4,956.0 ล้านเหรียญฯ หรือ 86,753 ล้านบาท ซึ่งการส่งออกยังคงได้รับแรงสนับสนุนหลักจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ตามวัฏจักรขาขึ้นของคอมพิวเตอร์ และการเติบโตของเทคโนโลยีสมัยใหม่ AI ส่งผลให้ภาพรวมของสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ยังคงสร้างความไม่แน่นอนต่อการค้าในระยะข้างหน้า ด้วยสัญญาณการชะลอตัวของตลาดสำคัญ เช่น จีน ญี่ปุ่น ซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ขณะที่การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยยังคงอยู่ในภาวะหดตัวจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโลก รวมถึงค่าเงินบาทแข็งค่า ที่ฉุดการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ปี 2569 สนค.คาดการณ์การส่งออกไว้ที่ ติดลบ 3.3% ถึงขยายตัว 1.1% ภายใต้ปัจจัยของมาตรการภาษีสหรัฐฯ เริ่มชัดเจนขึ้น ปัญหาด้านราคาและค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลต่อขีดความสามารถทางการแข่งขัน ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่ และปัญหาสภาพอากาศรุนแรงจะส่งผลต่อสินค้าเกษตร อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์                  จะมุ่งเน้นการเร่งเจรจาความตกลงภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯให้เสร็จสิ้น พร้อมกับเพิ่มความเข้มงวดเรื่องถิ่นกำเนิดสินค้ากวาดล้างธุรกิจนอมินี และเดินหน้าเจรจาและผลักดันการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) สร้างแต้มต่อทางการค้า และร่วมมือกับภาคเอกชนผลักดันเป้าหมายการส่งออกให้เติบโตท่ามกลางอุปสงค์ที่อ่อนแอและความไม่แน่นอนที่ยังมีต่อเนื่องในปีหน้า

 

รูปภาพประกอบด้วย คน, ใบหน้าของมนุษย์, เสื้อผ้า, ดอกไม้

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

นายเอกนิติ รมยานนท์

เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)

 

3. 1 ม.ค. 69 เริ่มบังคับใช้ยูโร 6 (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 26 ธันวาคม 2568)

นายเอกนิติ รมยานนท์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 สมอ.จะบังคับใช้มาตรฐานยูโร 6 หรือมาตรฐานการปล่อยมลพิษของสหภาพยุโรปที่กำหนดระดับสูงสุดของการปล่อยก๊าซพิษจากรถยนต์และยานพาหนะเชิงพาณิชย์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน เพื่อลดมลพิษทางอากาศจากไอเสียรถยนต์ กับรถบัสและรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน หลังจากวันที่ 1 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ได้บังคับใช้มาตรฐานยูโร 6 กับรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินไปแล้ว ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะช่วยแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก พีเอ็ม 2.5 ทั้งนี้ สมอ.ได้เตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการในการยื่นขออนุญาตไปแล้วกว่า 140 ราย เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้มีผู้นำเข้ารถบัสและรถบรรทุกที่ใช้เครื่องยนต์เบนชิน ยื่นขออนุญาตในระบบอี-ไลเซนส์ แล้ว 5 ราย และ สมอ.ยังได้ดำเนินงานด้านการมาตรฐาน เพื่อขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนผ่านจากเครื่องยนต์สันดาปไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ด้วยการกำหนดมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับอีวีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบัน สมอ. มีมาตรฐานอีวีแล้ว จำนวน 198 มาตรฐาน พร้อมทั้งส่งเสริมผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรม นำมาตรฐานดังกล่าวไปใช้ เช่น มาตรฐานแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า สายไฟฟ้าสำหรับอัดประจุ สถานีชาร์จรถไฟฟ้า เต้าเสียบ เต้ารับ เต้ารับต่อยานยนต์และเต้าเสียบยานยนต์ ระบบไฟเตือนการห้ามล้อฉุกเฉิน ระบบจอดรถอัตโนมัติ ระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถอัตโนมัติ และระบบลดความเสียหายจากการชนด้านหน้า ซึ่งในอนาคต ยุโรปมีเป้าหมายในการควบคุมมลพิษจากยานยนต์ที่เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยพัฒนามาตรฐาน ยูโร 7 ต่อยอดจากมาตรฐานยูโร 6 เพื่อควบคุมมลพิษจากยานยนต์ทุกประเภท ทั้งเบนซิน ดีเซล และไฟฟ้า โดยเน้นการลดมลพิษจากท่อไอเสีย และมลพิษที่ไม่ใช่ไอเสีย

อย่างไรก็ตาม สำหรับมติครั้งนี้เป็นไปตามมติ ครม.วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 เห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมบังคับใช้มาตรฐานการควบคุมปริมาณสารมลพิษที่ปล่อยออกมาจากยานยนต์ไม่ให้เกินเกณฑ์ที่เป็นอันตรายต่อประชาชน เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็กพีเอ็ม 2.5 และปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศในระยะยาว รวมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อเอื้อให้เกิดการลงทุนจากต่างชาติ ที่เน้นพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงและพลังงานสะอาดให้ทัดเทียมกับกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปประกาศบังคับใช้

 

ข่าวต่างประเทศ

 

4. ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่นลดลง 2.6% ในเดือนพ.ย. เซ่นพิษผลผลิตแบตเตอรี่-พีซี (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 26 ธันวาคม 2568)

กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายน 2568 ปรับตัวลดลง 2.6% เมื่อเทียบรายเดือน โดยได้รับแรงกดดันจากการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ลดลง โดยสำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การลดลงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ตัวเลขของเดือนตุลาคม ถูกปรับเพิ่มเป็นขยายตัว 1.5% ซึ่งทางกระทรวงฯ ยังคงระดับการประเมินพื้นฐานของเดือนพฤศจิกายน ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า โดยระบุว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม "มีความผันผวนอย่างไม่มีทิศทางแน่นอน"

อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ รายงานของกระทรวงฯ ยังระบุด้วยว่า ดัชนีการผลิตในโรงงานและเหมืองแร่ที่ปรับค่าตามฤดูกาลแล้ว อยู่ที่ระดับ 102.0 เทียบกับฐาน 100 ในปี 2563 ส่วนดัชนีการขนส่งในภาคอุตสาหกรรมลดลง 1.6% แตะระดับ 100.7 และดัชนีสินค้าคงคลังลดลง 3.0% แตะระดับ 97.3 โดย 12 ภาคส่วนอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นมีผลผลิตลดลง นำโดยกลุ่มเครื่องจักรไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้านสารสนเทศและการสื่อสาร และยานยนต์ ทั้งนี้ จากการสำรวจกลุ่มผู้ผลิต กระทรวงฯ คาดการณ์ว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธันวาคม 2568 ของญี่ปุ่นจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.3% และพุ่งขึ้น 8.0% ในเดือนมกราคม 2568   

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)